กะเทยสาวไม่ยอม ตร.อาสารุมซ้อมเมื่อวันไหล คดีไม่คืบหน้า
องค์กรสาวประเภทสองยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม สาวประเภทสองเที่ยววันไหลถูกตำรวจอาสาฯ กล่าวหาว่าขายตัว ก่อนรุมทำร้ายเจ็บ
(28 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของกะเทย สาวประเภทสอง และคนเพศตรงข้าม นำโดย นายฐิติญานันท์ หนักป้อ ผู้อำนวยการมูลนิธิซิสเตอร์พัทยา พร้อมคณะ ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้กับ นายสุพิชญนันท์ อายุ 26 ปี สาวประเภทสอง ประกอบธุรกิจขายส่งเสื้อผ่านออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก
หลังจาก นายสุพิชญนันท์ ผู้เสียหาย พร้อมกลุ่มเพื่อน ได้เดินทางมาท่องเที่ยวเล่นน้ำตั้งแต่ช่วงเทศวันไหลเมืองพัทยา จนกระทั่งช่วงคืนของ วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากเดินออกจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อข้ามฝั่งไปชมวิวยังบริเวณริมชายหาดเมืองพัทยา ก่อนจะถูกตำรวจอาสาสมัครเข้ามาล้อม พร้อมกับกล่าวหาว่าเธอขายบริการทางเพศ และพยายามจะทำการตรวจยึดบัตรประชาชน
อีกทั้งยังฉุดกระชากพยายามจะพาขึ้นรถ แต่เกิดการฉุดกระชากยื้อกัน ก่อนตำรวจอาสาสมัครจะรุมทำร้ายเธอได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง เบื้องต้นได้แจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานกับ ร.ต.อ.สายใจ คำจุลลา รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา ไว้แล้วนั้น
หลังจากเกิดเหตุเจ้าตัวจะโพสต์ภาพบาดแผลและข้อความสำหรับเหตุการณ์ลงโซเซียลเน็ตเวิร์ก ทำให้มีผู้แสดงความคิดเห็นว่าตำรวจอาสาสมัครทำเกินกว่าเหตุ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายวัน แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าสำหรับคดีนี้ สมาชิกในองค์กรจึงได้มายื่นหนังสื่อร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว
เบื้องต้น พ.ต.ท.ออมสิน สุขการค้า รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา ได้เป็นผู้รับมอบหนังสือแทน พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก. สภ.เมืองพัทยา พร้อมกับกล่าวเพียงสั้นๆว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยยืนยันจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งระหว่างนี้คงต้องขอเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงาน และไม่นานคงมีความคืบหน้าสำหรับคดีไปมากอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นายฐิติญานันท์ ผู้อำนวยการมูลนิธิซิสเตอร์พัทยา ได้เรียกร้องว่ากลุ่มสาวประเภทสองมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งแฝงตัวอยู่ตามจุดเสี่ยงในพื้นที่เมืองพัทยา และเห็นด้วยกับการกวาดล้างจับกุมสาวประเภทสองที่ไม่ดี แต่อยากให้ช่วยคัดกรองว่าสาวประเภทสองกลุ่มไหนเดินทางมาท่องเที่ยวจริงๆ ไม่ได้มาแอบแฝงมาเป็นอาชญากร และขอร้องอย่าเหมารวมว่าสาวประเภทสองเป็นคนไม่ดี
ทั้งนี้ องค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของกะเทยสาวประเภทสองและคนเพศตรงข้าม พร้อมยินดีทำงานร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานเกี่ยวข้องในการจัดระเบียบคัดกรองกลุ่มสาวประเภทสอง และเชื่อว่าปัญหาที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับสาวประเภทสองน่าจะเบาบาลง ถ้าหน่วยงานเกี่ยวข้องเปิดใจและยอมทำงานร่วมกัน เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะดีขึ้นอย่างแน่นอน