ศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุก 2 ตายายเก็บเห็ด คนละ 5 ปี

ศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุก 2 ตายายเก็บเห็ด คนละ 5 ปี

ศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุก 2 ตายายเก็บเห็ด คนละ 5 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ตายายเก็บเห็ด คนละ5ปี ฐานบุกรุกป่าสงวนฯ ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 14 ปี 12 เดือน และศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 30 ปี รับสารภาพลดโทษครึ่งหนึ่ง

(2 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอุดม และ นางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา บ้านโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ต้องหาคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงระแนง พร้อมญาติๆ ได้เดินทางเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาในชั้นฎีกา ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ท่ามกลางการดูแแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

2 สามีภรรยาได้เดินขึ้นไปที่บังลังค์ 10 เพื่อรอรับฟังคำพิพากษา ซึ่งคดีนี้สามีภรรยาถูกจับในข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ 72 ไร่ โดยมีหลักฐานตัดไม้สักและกระยาเลยกว่าหนึ่งพันต้น และยังครอบครองไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอุนญาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553

จนเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2554 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 30 ปี โดยผู้ต้องหารับสารภาพ ลดโทษเหลือ 15 ปี และประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์เมื่อปี 2557 ปฏิเสธว่าไม่ได้ตัดไม้ และว่าในวันเกิดเหตุได้เข้าไปเก็บเห็ดในป่าสงวนเท่านั้น โดยข้อให้ศาลลดโทษซึ่งศาลพิพากษาแก้เป็น จำคุก 14 ปี 12 เดือน

การอ่านคำพิพากษาได้เริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ที่ 446/2560 ตามที่จำเลย ประกอบด้วย นายอุดม ศิริสอน จำเลยที่ 1 และ นางแดง ศิริสอน จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคัดค้าน ต่อความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ , ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวน ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ใน 3 ประเด็นสำคัญคือ 1. โดยอ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุ คคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดี พูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  2. การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ 3. ฎีกาของให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

หลังจากศาลวินิจฉัยตามฎีกา กรณี อ้างว่าจำเลยหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะคำให้การเป็นการขัดแย้งกันหลังจากที่ศาลได้ ทำการสืบพินิจจำเลย และการดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น กรณีดังกล่าวปรากฏว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาตามฟ้องให้จำเลยทั้งสองทราบโดยครบถ้วน เพียงแต่ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำมากเท่ากับที่บรรยายในฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอันแสดงว่าจำเลยทั้งสองเข้าใจ โจทก็จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนประการสุดท้ายฎีกาของให้ ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ตามรายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสอง สำนวนการสอบสวนที่ศาลฎีกาเรียกมาจากโจทก์เพื่อประกอบการพิจารณาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุคณะเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าร่วมกันออกตรวจปราบปรามผู้กระทำความผิดกฏหมายเกี่ยวกับป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พบกลุ่มบุคคล 3-4 คน กำลังช่วยกันตัดไม้ใช้มีดแผ้วถางขนาดเล็กและตัดโค่นไม้สักล้มลงจำนวนมาก เมื่อพบเจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งหนี ปรากฏหลักฐานการตัดไม้เป็นแปลงปลูกไม้สวนป่า ปี 2527, 2531, 2532, 2536 มีการตัดโค่นไม้สักสักกับไม้ กระยาเลย ขนาดโตประมาณ 30 ถึง 90 ซม. อายุประมาณ 15 ถึง 20 ปี ที่กำลังโต เป็นการกระทำความผิดขอกลุ่งบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันเป็นขบวนการลักลอบตัดไม้ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง

โดยจำเลยทั้งสองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าว ตามพฤติกรรมแห่งคดีเชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง และยังมีการติดตามเพื่อขยายผล คงมีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจรับสารภาพตามฟ้อง กรณีมีเหตุผลสมควรให้กำหนดโทษแก่จำเลยทั้งสองให้น้อยลดลงเพื่อให้เหมาะแก่รูปคดี แต่ตามพฤติการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศน์ ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับมาคืนดี ดังเดินส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ ของประชาชนโดยรวมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน

อนึ่งระหว่างพิจาณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเตอมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฏหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้ หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้ หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ ในครอบครอง จำคุกคนละ 6 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอบคนละ 5 ปี นอจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

ขณะที่ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลมีเมตตาลดโทษให้เป็นหนึ่งในสาม แต่คดีนี้คงจะรื้อฟื้นใหม่ เพราะตนมั่นใจในพยานหลักฐานเพราะจะต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งก็จะมีการรื้อฟื้นคดีต่อไป ส่วนรายละเอียดที่นำมารื้อฟื้นคดีใหม่เป็นอย่างไรนั้นจะมาอธิบายให้ฟังในวันที่มายืนรื้อฟื้นคดี ยืนยันว่าจะเป็นหลักฐานใหม่ โดยเฉพาะพยานบุคคล

อย่างไรก็ตามในวันนี้ถึงแม้จะมี สำนักยุติธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่พร้อมจะให้วางเงินประกันนั้น ทนายความก็ยังไม่ได้ทำการยื่นประกันแต่อย่างใดเพราะจะต้องรอการตรวจคำพิพากษาอย่างละเอียดเพื่อทำการรื้อฟื้นคดีใหม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook