ชีวิตนี้เพื่อคนที่รัก! พระเอกหมอลำสู้ชีวิต เจมส์บอนด์ อธิณัณ
จากชีวิตลูกอีสานสู่เส้นทางสายหมอลำ กลายเป็นพระเอกเงินล้านเจ้าของฉายา พระเอกหมอลำขี้อ้อน เจมส์บอนด์ อธิณัณ ซึ่งกว่าที่เค้าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องฝ่าฝันอุปสรรคมากมายเพราะความจนไม่มีต้นทุนต่อยอดชีวิต ต้องขวนขวายไขว่คว้าเพื่อตัวเองและคนในครอบครัวที่รอคอยความสำเร็จและเป็นกำลังใจให้เสมอมา
โดยเส้นทางการต่อสู้ชีวิตของ เจมส์บอนด์ อธิณัณ เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งเขาได้เปิดใจกับ Sanook! News ว่า ชีวิตของเขานั้นต้องต่อสู้มาตั้งแต่แรกคลอดเพราะเจมส์บอนด์เป็นเด็กที่เกิดก่อนกำหนดจึงต้องอยู่ในตู้อบ โดยที่หมอบอกว่าถ้ารอดแล้วฉลาดก็จะดีไปเลย แต่ถ้าไม่รอดก็กลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า
จากนั้นแม่มีปัญหากับบ้านพ่อจึงนำมาฝากให้กับตากับยายเป็นผู้เลี้ยงดูเพราะแม่ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯและด้วยฐานะทางบ้านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ตากับยายไม่มีเงินมากพอ จึงเลี้ยงต้องเจมส์บอนด์ด้วยนมข้นหวานกับน้ำอุ่น พอโตขึ้นมาก็ไม่เคยได้เจอหน้าพ่อเลย
เมื่อเข้าสู่วัยประถมก็เริ่มทำขนมไปขายที่โรงเรียน เมื่อขึ้นชั้นมัธยมซึ่งต้องใช้เงินมากขึ้น ก็เริ่มไปรับจ้างทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียน พอตกกลางคืนก็ไปหากบ หาหนู หาปลา เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว จากนั้นเมื่อขึ้น ม.3 ตัวเองก็ไปรับจ้างเป็นแดนเซอร์ของวง “เดือนเพ็ญ อำนวยพร” ประมาณ 1 ปี แล้วก็หยุดไป เพราะขึ้นชั้น ม.ปลายและไปทำงานเป็นดีเจวิทยุจึงไม่มีเวลาไปซ้อมเต้น
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเงินเรียนต่อ งานแรกที่ได้คือ พนักงานประจำร้านไก่ย่างแห่งหนึ่ง ได้ค่าแรงวันล่ะ 100 กว่าบาท “แต่ต้องอดยอมอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าวันไหนได้ซื้อข้าวไข่เจียวกินชามล่ะ 15 บาทถือว่าได้ขึ้นสวรรค์เลยก็ว่าได้เพราะเราไม่มีเงินซื้ออะไรกินที่แพงกว่านี้ แค่ข้าวไข่เจียวข้างบิ๊กซีดาวคะนองก็ถือว่ามีความสุขมากๆ แล้ว และตอนนั้นทีวีของยายพังด้วยจึงต้องเก็บเงินเพื่อที่จะไปซื้อทีวีให้ยายด้วย ”
นอกจากนั้น ยังรับงานเสริมด้วยการไปแจกใบปลิวตามบ้านเรือน บางทีก็โดนหมากัดบ้าง โดนเจ้าของบ้านต่อว่าบ้าง หาว่าเราเอาอะไรไปเหน็บไว้บ้านเค้า แต่ก็มีคนชมนะว่าขยันทำงาน ซึ่งเจอมาทั้งสารพัดรูปแบบแต่ก็ต้องทนและยอมรับว่าเหนื่อยมากเพราะต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงไปแจกใบปลิวถึง 10 โมง แล้วก็ไปทำงานต่อจนเลิกตอน 4ทุ่ม
การที่ เจมส์บอนด์ ทำงานหนักและอดออมทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ ทำเอาหายเหนื่อยเพราะสามารถเก็บเงินซื้อทีวีให้ยายได้จริงๆ ซึ่งครั้งนั้นเขาสามารถหาเงินได้ประมาณ 5,300 บาท นำไปซื้อทีวีราคาเครื่องล่ะ 3,900 บาท ค่ารถกลับบ้านอีก 1,000 บาท เหลือเงินติดตัวกลับบ้าน 400 บาท
“เมื่อกลับถึงบ้านก็เอาทีวีไปต่อให้ยายดู ตอนนั้นยายดีใจมาก เราก็ปลื้มใจและภูมิใจมากเพราะเป็นของชิ้นแรกที่เราเก็บเงินซื้อให้ยายทั้งที่เพิ่งทำงานและเรียนจบ ม.6”
จากนั้นเราก็มีความคิดว่าอยากเรียนต่อเพราะไม่อยากจบแค่ ม.6 จึงไปทำงานกับแม่ที่บางปะกง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหุ่นยนต์ของเล่นเด็ก และก็สมัครเรียนชั้น ปวส.ไปด้วย นอกจากนี้ยังไปรับจ้างเป็นนักร้องงานเลี้ยงหาเงินเพิ่มอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งค่าตัวตอนนั้น 500-700 บาท ถือว่าเยอะพอสมควร พอเรียนจบ ปวส. ก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา จนจบปริญญาตรี
จากนั้นก็ไปเปิดร้านขายเครปและเปิดขายกางเกงในทางออนไลน์ไปด้วย ซึ่งตอนนั้นถือว่ารายได้ดีพอสมควรแต่สุดท้ายก็ต้องเลิกไปเพราะคู่แข่งเยอะ “ที่สำคัญพอเราขายกางเกงในก็เริ่มเจอลูกค้าแปลกๆ หรือโรคจิตมากขึ้น เช่น ขอซื้อกางเกงในที่ใส่แล้วได้มั้ย หรือ ขอซื้อแบบแถมน้ำได้มั้ยอะไรประมาณนี้”
หลังเรียนจบแล้วจึงตัดสินไปบวชตอบแทนบุญคุณแม่ ตอนแรกชาวบ้านก็ไม่ยอมรับเพราะเห็นว่าชอบเอานกเอาปลามาเลี้ยงในวัด “แต่นานไปชาวบ้านก็เริ่มนับถือและเข้าใจเรา เพราะว่านกหรือปลาที่เราเลี้ยงไว้ ต้องการให้เด็กมาดูและจะได้เข้าวัดมากขึ้น บางทีเด็กมาขอปลาไปเลี้ยงเราก็ให้ แต่เค้าต้องไปทำงานเพื่อมาแลกของ ทำให้เด็กๆหันมาเข้าวัดกันมากขึ้น พอเราจะลาสิกขาชาวบ้านก็มาขอร้องไม่อยากให้สึก อยากให้เราช่วยพัฒนาวัดต่อไป”
หลังจากที่เราสึกออกมาแล้วก็อยากทำตามความฝันคือ อยากเป็นหมอลำและเป็นนักร้องลูกทุ่ง โดยตอนแรกเราก็ไปสมัครเป็นแดนเซอร์ก่อน แต่พอช่วงพักวงไม่มีงานไม่มีเงินก็รู้สึกท้อ จึงไปสมัครเป็นครูตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งเป็นโรงเรียนพิเศษที่รับนักเรียนที่เพิ่งพ้นโทษจากสถานพินิจและเด็กขยายโอกาส โดยบางคนก็ติดยาเสพติด บางคนก็เพิ่งพ้นโทษคดีฆ่าคนตายมา
ในช่วงแรกๆที่เรามาอยู่ก็ยากหน่อย ตรงที่เด็กไม่ค่อยฟังไม่ค่อยไหว้ แต่เราก็สู้ด้วยการไหว้เด็กๆก่อนทุกครั้งที่เจอกัน ทำให้เด็กเริ่มปรับพฤติกรรมมากขึ้น และเราก็สอนเค้าด้วยความรัก ห่วงเค้าด้วยความหวังดี จนในท้ายที่สุดจากเด็กที่ไม่เชื่อฟังใครไม่มีใครต้องการกลับเชื่อเรารักเราและเคารพเราทุกคน
มีคำสอนหนึ่งที่เจมส์บอนด์ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ฟัง “ครูก็ไม่มีพ่อก็ไม่เห็นต้องเลวเหมือนพวกเธอเลย ถ้าสมมุติว่ามีคนดูถูกพวกเธอว่าพวกเธอเลวนิสัยไม่ดี พวกเธอภูมิใจมั้ย ถ้าไม่ภูมิใจแล้วจะทำให้พวกเค้าว่าทำไม เพราะฉะนั้นแล้วอย่าทำให้ใครมาว่ามาดูถูกพวกเธอได้” หลังจากนั้นพวกเค้าก็ดีขึ้นมากๆ
ในช่วงเวลาที่เราเป็นครูเราก็ไปสมัครวงหมอลำชื่อ “หนูภารวิเศษศิลป์” เพราะใจรัก โดยอาศัยเวลาตอนเย็นไปซ้อมเต้นและเค้าก็ให้ร้องเพลงเต้ย ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มเข้าสู่หมอลำเต็มตัว จึงอยากพัฒนาตัวเองขึ้น ด้วยเวลาที่ไม่พอก็เลยต้องลาออกจากครูเพื่อมาทำอาชีพหมอลำเต็มตัว โดยที่วงหมอลำ “หนูภารวิเศษศิลป์” ให้โอกาสกับเจมส์บอนด์ หลายอย่าง ทำให้เริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น มีรถขับ มีเงินส่งให้ตากับยาย เริ่มมีชื่อเสียงเริ่มมีคนรู้จักเยอะขึ้น มีแฟนคลับ
หลังจากอยู่กับวง หนูภารวิเศษศิลป์ มาได้ 2 ปี ก็ย้ายไปวงที่ใหญ่ขึ้น เพราะต้องการพัฒนาตัวเองเรื่องการร้องการลำให้เก่งขึ้นเลยได้ย้ายมาอยู่กับวง “รัตนศิลป์” จากการชักชวนของเจ้าของวง โดยวงรัตนศิลป์เป็นหมอลำต้นแบบ ลำวัฒนธรรมมีทำนองลำพื้นที่ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน และการมาอยู่ที่นี่ก็ได้เป็นพระเอกหมอลำอย่างเต็มตัวแสดงตั้งแต่ 2 ทุ่มจนถึง 6 โมงเช้า ทำให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ งานดีขึ้น เงินดีขึ้น ฝีมือก็พัฒนาดีขึ้น เพราะที่นี่เค้าฝึกร้องฝึกลำทุกวัน
ส่วนรายได้ จะได้จากค่าตัวที่ได้รับจากวง และเงินทิปจากผู้ชม เฉลี่ยแล้วคืนหนึ่งจะได้ประมาณ 2,000 บาท เคยได้สูงสุดคือ 40,000 บาทและต่ำสุดคือ 200 บาท โดยเงินเดือนจากวง จะเก็บไว้เป็นเงินออม
“ในวงการหมอลำ ถ้าเป็นพระเอกหมอลำระดับแถวหน้าจะได้ทิปคืนหนึ่งกว่า 100,000 บาทเลยทีเดียว และเท่าที่ได้ยินมาพระเอกหมอลำที่เคยได้ทิปสูงสุดต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท” ส่วนค่าจ้างวงหมอลำคณะใหญ่ๆ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาทต่อคืนขึ้นไปแล้วแต่ตกลงกัน
“เงินที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะนำไปให้ยายกับตาเป็นค่าใช้จ่าย เอาไว้สร้างบ้าน ทำนาและใช้อยู่ใช้กิน นอกจากนี้เงินที่ได้มายังเป็นบทพิสูจน์ให้ตากับยายเห็นว่าอาชีพหมอลำก็สามารถทำเงินได้หาเลี้ยงตัวเองได้เช่นกัน ในอนาคตก็อยากจะเป็นศิลปินหรือนักร้องต่อไป”
ถึงแม้วันนี้ชีวิตจะดูมั่นคงและประสบความสำเร็จ แต่ เจมส์บอนด์ ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ท้อแท้เช่นกัน ซึ่ง “เจมส์บอนด์ จะมีวิธีให้กำลังใจตัวเองด้วยการดูรูปตากับยาย เวลาเหนื่อยเวลาท้อ เราจะคิดว่าหากไม่เดินต่อ เราสิ้นหวัง แล้วคนที่อยู่ข้างหลังเราล่ะเค้าก็ต้องล้มเพราะเราไม่ได้หาใช้คนเดียว เราคือเสาหลักของครอบครัว แต่ถึงจะเหนื่อยเราก็มีความสุขที่ได้ดูแลพวกเค้า”
เคล็ดลับที่ทำให้ เจมส์บอนด์ ประสบความสำเร็จและกลายเป็นพระเอกหมอลำชื่อดังคือ “ซื่อสัตย์กับไม่ตอแหล” เป็นคติที่เรายึดถือต่อตัวเองและอาชีพนี้ เมื่อเราดังเราโกหกเราหลอกลวงเงินจากผู้ชมหรือแม่ยกได้ แต่เราไม่ทำเราไม่ทรยศอาชีพตัวเอง เท่านี้เราก็อยู่ได้และจะประสบความสำเร็จอย่างเต็มภาคภูมิ
นี่คือเส้นทางเดินสู้ชีวิตของเด็กหนุ่มจากภาคอีสานที่ทำตามความฝันอยากเป็นพระเอกหมอลำ ที่กว่าจะมายืน ณ จุดนี้ได้ไม่ยากเลย แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จได้อย่างที่คาดหวังเพียงเพราะความอดทน ซื่อสัตว์และจริงใจ ทำให้มีอย่างเช่นทุกวันนี้