ย้อนรอย 5 คดีโหดฆ่าหั่นศพฝังดินสุดสะเทือนขวัญในรอบปี
เกิดคดีสะเทือนขวัญของสังคมอีกครั้งเมื่อมีการพบศพหญิงสาวหน้าตาดีถูกฆ่าหั่นศพจนขาดเป็นสองท่อนแล้วยัดศพใส่ถังพลาสติกสีดำนำไปฝังไว้บริเวณบ้านโนนสง่า ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น สร้างความความตกตะลึงให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าพฤติการณ์ของคนร้ายช่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์เสียจริง กลายเป็นปริศนาที่ตำรวจต้องหาค้นหาความจริงต่อไปว่าใครคือฆาตกร
ซึ่งเหตุการณ์ฆ่าโหดรายนี้ไม่ใช่รายแรก แต่ยังมีคดีฆ่าโหดที่เกิดขึ้นในเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา จะมีคดีอะไรบ้างตามไปดูย้อนรอย 5 คดีโหดฆ่าหั่นศพฝังดินสุดสะเทือนขวัญ
เริ่มต้นที่คดีแรกเป็นคดีฆ่าหั่นศพสาวสวยขาดเป็น 2 ท่อนแล้วนำศพไปฝั่งดิน โดยศพถูกพบที่บริเวณบ้านโนนสง่า ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 60 ที่ผ่านมา และจากการตรวจสอบพบว่าหญิงสาวรายนี้คือ น.ส. วริศรา หรือ แอ๋ม อายุ 22 ปี ชาวจังหวัดชัยนาท ถูกแจ้งหายเมื่อวันที่ 22 พ.ค.60 ที่ผ่าน
ซึ่งจากตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง พบว่าเมื่อคืนวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 เวลา 00.59 น. ผู้เสียชีวิตได้ซ้อนรถจักรยานยนต์ลงมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ก่อนที่จะเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แล้วเดินไปซ้อนรถจักรยานยนต์ที่จอดรอออไป โดยคนขับรถจักรยานยนต์เป็นลักษณะผมสั้น
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกสามีของน้องแอ๋มคือ นายศักดิ์ชัย อายุ 35 ปี มาสอบปากคำ โดยให้การว่าตนเองแต่งงานกันในเดือน ก.พ.2560 และรู้มาตลอดว่าน้องแอ๋มนั้นเป็นคนที่ชอบคบหากับทอมและพูดคุยกั บทอมหลายคนตั้งแต่ก่อนแต่งงาน
ครั้งสุดท้ายที่พบกับภรรยาคือวั นที่ 5 พ.ค.ซึ่งผู้ตายขอไปทำงานที่ จ.ขอนแก่น จึงมีปากเสียงกัน เพราะกลัวว่าไปคบหากับทอมภรรยาจึงไม่พอใจ และไปขอพักกับบ้านพ่อ จากนั้นก็ไม่พบหน้ากันอีกเลย แต่ก็ติดต่อกันโดยตลอดทั้งทางโทรศัพท์และทางเฟซบุ๊ก
ครั้งล่าสุดที่คุยกันคือวันที่ 22 พ.ค.เวลา 23.47 น. ซึ่งได้ติดต่อไปทางเฟชและได้ โทรศัพท์คุยกัน ซึ่งน้องแอ๋มก็ยังคงอ้อนกั นตามปกติ ด้วยความเหนื่อยล้ าจากการทำงานก็ได้หลับไป จากนั้นก็พยายามติดต่อภรรยาอี กครั้งในช่วงบ่ายของวันที่ 23 พ.ค. 60 ก็ไม่สามารถติดต่อได้ มาทราบข่าวอีกครั้งว่ าภรรยาเสียชีวิตแล้ว
จากการสอบสวนไม่พบพิรุธแต่อย่างใด เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสังหารไว้ 2 ประเด็นคือ หึงหวง และ ฆ่าชิงทรัพย์ ที่สำคัญฆาตกรยังลอยนวล
มาต่อกันที่คดีฆ่าชิงทรัพย์ชิงทรัพย์สุดโหด ซึ่งคนร้ายเป็นเพียงแค่เยาวชนเท่านั้นและที่สำคัญคำสารภาพไม่มีคำว่าสำนึกผิดด้วยซ้ำไป
เหตุการณ์นี้ผู้ตายคือ นายนิรันดร์ ชายวัย 25 ปี ชาวจังหวัดชัยภูมิ ถูกแจ้งหายไปเมื่อวันที่ 8 เมษายน 60 ที่ผ่านมาและถูกพบเป็นศพฝังดินเมื่อวันที่ 26 เมษายน 60 ซึ่งสภาพศพเหมือนถูกเผาก่อนนำมาฝังดินไว้เพื่ออำพรางศพอย่างโหดเหี้ยม
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถจับกุมฆาตกรได้คือ นายหมูหยอง อายุเพียง 17 ปี โดยสารภาพว่าได้วางแผนกับพี่ชายฆ่านายนิรันดร์เพื่อชิงทรัพย์โทรศัพท์มือถือ เงินสด และรถเก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ มิราจ สีขาว
โดยนายน็อตพี่ชายได้จับนายนิรันดร์ไว้แล้วให้นายหมูหยอง น้องชายใช้มีดปลายแหลมจ้วงแทงจนขาดใจตายภายในหอพัก แล้วนำศพขึ้นรถ แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังป่ายูคาท้ายหมู่บ้านหลังวัดบ้านโสกตลับ ต.โคกสูง อ.เมืองชัยภูมิ เมื่อไปถึงได้ขุดหลุม จุดไฟเผา ฝังศพพร้อมป้ายทะเบียนรถ และหลักฐานต่างๆ ขุดดินกลบแล้วพากันเดินทางกลับมานอนที่หอพัก
นอกจากนี้นายหมูหยองยังได้สารภาพว่าที่ฆ่าเพราะแค่อยากได้รถ ทำแล้วก็ไม่รู้สึกอะไร ชีวิตคนก็เหมือนสัตว์ธรรมดาฆ่าได้ และที่สำคัญนายหมูหยองเคยก่อคดีฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเพียง 16 ปีเท่านั้น แม้ว่าอายุยังน้อยแต่พฤติกรรมถือว่าโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก
คดีต่อมาเป็นคดีหึงโหดฆ่าสาวหล่อฝังดินอย่างโหดเหี้ยม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.59 เมื่อพ่อของผู้ตายคือ น.ส.สุภัคสรณ์ หรือ หญิง อายุ 28 ปี ได้แจ้งความว่าบุตรสาวได้หายตัวไป โดยลูกสาวมีลักษณะเป็นทอมบอยหน้าตาดี ทำให้มีผู้หญิงมาติดพันจำนวนมาก จนกระทั่งบุตรสาวได้ไปรู้จักกับ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 39 ปี อาชีพนักร้องตามร้านอาหารและได้คบหากันระยะหนึ่ง
จนทราบว่ามีนายตำรวจยศสูงวัยใกล้เกษียณ และเป็น ผกก.อยู่โรงพักแห่งหนึ่งมาติดพัน น.ส.เอด้วยเช่นกัน ทำให้ลูกสาวตนเองต้องตีตัวออกห่างจาก น.ส.เอ ทั้งคู่จึงมีเรื่องระหองระแหงกันมาสักระยะ จนกระทั่งหายตัวสาบสูญไป ไม่มีใครสามารถติดต่อได้อีกเลย
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค.60 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบศพ สาวนิรนามถูกฆ่าฝังดินอยู่ด้านหลัง รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน ต.หนองหญ้าปล้อง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี หลังจากการตรวจสอบสภาพศพเบื้องต้นพบว่าศพอยู่ในลักษณะเปลือยกาย มีรอยสักที่แผ่นหลังและต้นแขน
ซึ่งจากการตรวจสอบของนิติเวชพบว่าศพถูกฝังดินคือ น.ส.สุภัคสรณ์ พลไธสง อายุ 28 ปี ทอมสาวที่ถูกอุ้มหายไปนั่นเองและจากการชัยสูตรพบว่าเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ก่อนถูกนำมาฝังใต้ดิน
ทางคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดถึง 7 คน หนึ่งในนั้นคือนายตำรวจยศระดับผู้กำกับ ซึ่งได้เข้ามามอบตัวในภายหลังและให้การภาคเสธ ส่วนมือฆ่ายังไม่สามารถตามตัวมาได้ครบทุกคนจนถึงทุกวันนี้
คดีที่ 4 เป็นคดีฆ่าโหดหนุ่มใหญ่วัย 50 ปี ถูกฆ่าหั่นศพแยกชิ้นส่วน ก่อนที่คนร้ายขโมยจักรยานยนต์แล้วหลบหนีไป
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุมีการฆ่าหั่นศพที่กระท่อมปลายนาท้ายหมู่บ้านโนนสวรรค์ ถนนโนนสวรรค์ -โคกสะอาด ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี ที่เกิดเหตุพบศพ นายปัญญา อายุ 50 ปี ถูกฆ่าหั่นศพแยกชิ้นส่วน ท่อนแขนที่ตัดจากหัวไหล่
และขาถูกตัดบริเวณหัวเข่าใส่อยู่ในถังพลาสติกสีน้ำเงิน วางอยู่ที่เสาใต้ถุนกระท่อม ส่วนศีรษะและลำตัวสวมกางเกงขาสั้นอยู่ในถุงปุ๋ยข้างกัน นอกจากนี้ ยังพบรถจักรยาน ยี่ห้อเอลเอ สีแดง จอดอยู่หน้ากระท่อม คาดว่าเป็นรถของคนร้าย ส่วนรถจยย.ฮอนด้า คลิ๊ก สีแดงขาว หมายเลขทะเบียน 1กข 7659 อุดรธานี ของผู้ตายหายไป
ซึ่งจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุคือนาย นายสถาพร อายุ 20 ปี ชาว จ.บึงกาฬ ได้สารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุฆ่าหั่นศพนายปัญญาจริงและยอมรับอีกด้วยว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าตัดคอนายสำราญ อายุ 62 ปี เป็นบุคคลไม่สมประกอบ ที่ จ.หนองบัวลำภู ซึ่งห่างจากจุดที่เกิดเหตุคดีแรกประมาณ 70 กม.
ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุให้การวกไปวนมา ลักษณะคล้ายกับคนเมายา และมีอาการทางจิตประสาท ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่าเคยต้องคดีลักทรัพย์และติดยาเสพติดอย่างรุนแรงจนประสาทหลอน
คดีสุดท้ายหากยังจำกันได้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เกิดคดีสะเทือนขวัญสั่นประสาทคนไทยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อภรรยาได้ฆ่าหั่นศพสามีผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ ก่อนจะใส่ชิ้นส่วนศพลงในกระเป๋าเดินทางและนำชิ้นส่วนศีรษะ แขน และขา ทิ้งคลองด้านหลังอพาร์ทเมนท์
ซึ่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2555 จากการตรวจศพที่อยู่ในกระเป๋าพบว่าผู้ตายคือ นายประสิทธิ์ อายุ 47 ปี อดีตดีไซเนอร์และป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ถูกฆ่าหั่นศพยัดกระเป๋าเดินทางในสภาพสวมเสื้อยืดสีน้ำตาล กางเกงขาสั้นสีดำ ไม่พบศีรษะ ส่วนมือ และเท้าถูกมัดไว้ด้วยกันด้วยเชือกฟางสีเหลือง โดยถูกตัดข้อมือทั้งสองข้าง และชิ้นส่วนเท้าด้านขวาถูกตัดจากข้อเท้าหายไป 1 ข้าง
ด้านผู้ก่อเหตุคือน.ส.พรสุรีย์ อายุ 36 ปีและเป็นภรรยาของผู้ตาย ซึ่งในระหว่างถูกจับ น.ส.พรสุรีย์ ผู้ต้อหาทำท่านั่งสมาธิพนมมืออยู่ตลอดเวลา และกล่าวว่าตนเองเป็นร่างทรงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาปราบมาร และไม่รู้ตัวว่าฆ่าสามีตัวเองไปแล้ว พร้อมยืนยันด้วยท่าทางขึงขังด้วยว่า
"รู้และเราได้ฆ่ามารเฒ่าโลหิต และมาจับได้ยังไง เราเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ใครกล้ามาจับเรา พ่อกับแม่ให้ฆ่ามัน" ซึ่งจากการซักถามประวัติผู้ป่วย พบว่ามีการใช้สารเสพติดและมีการอาการหลงผิด หูแว่วได้ยินเสียงสั่งให้ฆ่าสามี
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเราชวนขนหัวลุกอีกว่า ขณะที่สิบเวรห้องขัง สน.บางขุนนนท์ กำลังเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ควบคุมห้องขังอยู่คนเดียวตามปกติ ได้เสียงกุกกักคล้ายวัตถุถูกลากอยู่ในห้องขัง เมื่อหันไปมองดู ปรากฏว่ากระเป๋าเดินทางมีล้อลากที่ผู้ต้องหาใช้ใส่ชิ้นส่วนศพของสามี จากเดิมที่วางนอนไว้กลับตั้งขึ้นอย่างน่าประหลาด ก่อนจะขยับหมุนเคว้งเป็นวงกลม 1 รอบ ทำให้ตกใจขนหัวลุก รีบย้ายออกมาตั้งหลักอยู่หน้าโรงพักจนเช้า
คดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษได้ตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจทดแทนความสูญเสียที่เกิดกับครอบครัวผู้เสียชีวิตได้