มหาเถรเล็งให้นาคอยู่วัด 15วัน! หวังสกัดพวกเบี่ยงเบนทางเพศบวช

มหาเถรเล็งให้นาคอยู่วัด 15วัน! หวังสกัดพวกเบี่ยงเบนทางเพศบวช

มหาเถรเล็งให้นาคอยู่วัด 15วัน! หวังสกัดพวกเบี่ยงเบนทางเพศบวช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตั้งเจ้าคณะอำเภอเมืองลำพูนลุยสอบขุมทรัพย์ เจ๊ดาว สั่งห้ามขนย้าย ด้านเจ้าอาวาสตุ๊ดอีกรูปรับ ข่าวฉาวทำพระกะเทยดีๆ เสียหาย โฆษกมหาเถรเล็งให้นาคอยู่วัดก่อนบวช 15 วัน เช็กพฤติกรรมสกัดเบี่ยงเบนทางเพศห่มเหลือง

 

(9ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในวันมาฆบูชา ที่วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.ลำพูน หลังอดีตพระครูวิจิตรสรการหรือ"เจ๊ดาว"ลาสิกขาพ้นจากวงการสงฆ์ ในช่วงเช้ายังคงมีคนในชุมชนเข้าไปทำบุญตักบาตรแต่บางตากว่าครั้งที่อดีตพระครูยังเป็นเจ้าอาวาส โดยมีพระลูกวัดคอยให้พรเพียงรูปเดียว ส่วนในช่วงเย็นซึ่งปกติจะมีการเวียนเทียน ในปีนี้วัดได้งดพิธีดังกล่าว โดยอ้างว่ากำลังมีการก่อสร้างวิหาร ทำให้ไม่สะดวกในเรื่องของสถานที่

ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด ปรากฏว่ายังมีการทยอยขนของออกไปอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุดวันเดียวกัน (9 ก.พ.) พระราชปัญญาโมลี รองเจ้าคณะจังหวัดลำพูน ระบุว่าได้มอบหมายให้พระครูวิสิฐปัญญากร เจ้าคณะอำเภอเมืองลำพูน เข้าไปดูแลวัดศรีบุญเรืองเป็นการชั่วคราวระหว่างพิจารณาสรรหาเจ้าอาวาสรูปใหม่ พร้อมทั้งสั่งให้ชะลอการขนย้ายทรัพย์สินทุกชนิดออกไปจากวัดเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจนว่าส่วนใดเป็นของวัด ส่วนใดเป็นของส่วนตัว ขณะที่ทรัพย์สินที่หายไปจากวัดก็จะต้องติดตามเอาคืน พระราชปัญญาโมลี กล่าวว่า วัดศรีบุญเรืองมีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ วัดนี้ไม่มีผลประโยชน์จากธรณีสงฆ์ หรืออาคารร้านค้า แต่จะได้จากกฐิน ผ้าป่า และการทำบุญของญาติโยม ทำให้ตรวจสอบได้ลำบาก แต่ก็ต้องทำตามระเบียบ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเห็นว่าเงินที่เข้าวัดถูกนำไปใช้บูรณปฏิสังขรณ์วิหาร เจดีย์ และกำแพงวัดมาโดยตลอด

นายเดชธรรม กรรมสิทธิ์ ปลัดเทศบาสตำบลศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน หนึ่งในลูกศิษย์อดีตพระครูวิจิตรสรการ กล่าวว่า หลังจากลาสิกขาที่วัดศรีเตี้ย ก็ไม่พบอดีตพระครูอีก คาดว่าจะพักสงบจิตสงบใจกับคนในครอบครัว ส่วนข่าวเรื่องเงินทองของวัดไม่ทราบว่าจะมีการนำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัวจริงหรือไม่ หรือมากน้อยเท่าใด เนื่องจากฐานะทางบ้านของอดีตพระครูมีอาชีพหลักเป็นเกษตรกรปลูกลำไย ก็ไม่ได้ร่ำรวยจากเดิมมากนัก

วันเดียวกัน นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า การสั่งห้ามขนย้ายทรัพย์สินออกจากวัดศรีบุญเรืองอยู่ในดุลพินิจของคณะสงฆ์จังหวัด แม้คณะสงฆ์จะได้ขอความร่วมมือระงับการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินชั่วคราวไปแล้ว แต่ยอมรับว่าอาจมีการขนกันอยู่ซึ่งจะไปห้ามเด็ดขาดก็คงจะไม่ได้ เพราะอดีตพระครูวิจิตรสรการบวชมาหลายสิบปี ทรัพย์สินส่วนตัวก็คงมีมาก อาจต้องทยอยขนหลายเที่ยว ซึ่งทรัพย์สินที่ขนออกไปยังไม่รู้ว่าเป็นของใคร ตอนนี้ที่ทำได้คือต้องรอให้การตรวจสอบทรัพย์สินของวัดที่ลงทะเบียนไว้แล้วเสร็จ หากพบว่าหายไปก็ต้องทวงคืนตามระเบียบ

ภายหลัง "คม ชัด ลึก" นำเสนอข้อมูลเรื่องพระตุ๊ดเณรแต๋วไปนั้น นายวัลลภ นามวงศ์พรหม กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาของประชาชนเป็นวงกว้างทั้งใน จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน และจังหวัดอื่นๆ ทำให้พระเณรถูกจับตามองด้วยความรู้สึกอื่น ที่ไม่ใช่ความศรัทธาในฐานะสาวกของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ยอมรับว่าอาจมีภิกษุสามเณรจำนวนหนึ่งที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง แต่ก็เป็นส่วนน้อย แต่การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทำให้ถูกเหมารวมไปทั้งสถาบัน ส่วนตัวแล้วเห็นว่ามีวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้ โดยผู้ที่มีข้อมูล อาจแจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาเพื่อชี้เป้าให้พระปกครองเข้าตรวจสอบและแก้ไขเป็นรายๆ ไป วิธีนี้จะเป็นการปกป้องพุทธศาสนาโดยไม่มีผลกระทบ

"จากนี้ไปหากเป็นไปได้อาจเชิญพระสงฆ์สามเณรที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายดังกล่าว เข้ารับการอบรมเพื่อปรับพฤติกรรม โดยให้ประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทยเป็นวิทยากร" นายวัลลภ กล่าว

สอดคล้องกับนายนที ธีระโรจนพงษ์ เลขานุการกลุ่มเชียงใหม่อารยะ ซึ่งออกมาสนับสนุนแนวคิดเชิญพระตุ๊ดเณรแต๋วใน จ.เชียงใหม่ หรือ จ.ลำพูนเข้ารับการอบรม โดยนายนทีระบุว่า ตนหรือผู้อื่นที่มีองค์ความรู้พร้อมที่จะรับใช้สังคมด้วยการเป็นวิทยากร แต่เชื่อว่าการเชิญภิกษุสามเณรเหล่านี้คงจะยาก เพราะไม่มีใครต้องการเปิดเผยตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่กระแสสังคมกำลังแรง

อย่างไรก็ตามหลังออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ มีหลายคนที่เข้าใจผิดและโกรธแค้นตน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ในช่วงนี้ต้องเก็บตัวเพราะเกรงว่าอาจไม่ปลอดภัยได้ แต่ยืนยันว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ไม่มีผลประโยชน์อะไรให้หวัง เพียงแต่คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นถูกละเลยมานาน และในฐานะอุบาสกคนหนึ่งคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องชำระฝุ่นใต้พรมที่สะสมมานาน เพื่อจรรโลงพุทธศาสนาเป็นสำคัญ

ส่วนพระครูชั้นโท เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นพระกะเทย กล่าวว่า แม้พระกะเทยจะมีอยู่จนเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้สั่นสะเทือนวงการพระกะเทยเป็นอย่างมากเพราะทำให้พระกะเทยดีๆ ต้องเสียหาย อยากให้มองพระกะเทยในมุมมองด้านดีบ้าง โดยต้องยอมรับความจริงว่าพระกะเทยไม่น้อยที่ใช้ความรู้ความสามารถพัฒนาวัด พัฒนาคน หลายรูปเทศน์เก่งจนเป็นที่ยอมรับ พระกลุ่มนี้น่ายกย่องด้วยซ้ำ เพราะแม้จิตใจจะเป็นกะเทยแต่ก็ครองตนในจริยวัตรที่เหมาะสม

"ข่าวที่ออกมาเป็นการเสนอข่าวในเชิงลบกับพระกะเทยเพียงด้านเดียว จึงอยากให้สื่อไปตรวจสอบวัดที่มีเจ้าอาวาสเป็นกะเทยแต่เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนบ้าง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ" พระครูชั้นโท กล่าว

ขณะเดียวกัน พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวว่า หลังมีข่าวพฤติกรรมพระเบี่ยงเบนทางเพศ โดยเฉพาะในภาคเหนือ อาตมาเคยให้สัมภาษณ์ตักเตือนผ่านสื่อ แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นมีโทรศัพท์หรือจดหมายมาต่อว่ามากมายจากพระกลุ่มนี้ โดยส่วนใหญ่จะไม่ชอบใจที่ไปว่ากล่าวพวกเขา

ส่วนแนวทางในการนิมนต์พระที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศเข้ารับการอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะทำให้พระเหล่านี้ได้รู้สำนึกว่าที่กำลังทำอยู่ได้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่พุทธศาสนาและคณะสงฆ์ แต่ในที่สุดแล้วเชื่อว่าคงไม่มีพระรูปใดออกมายอมรับและเข้ารับการอบรม และหากเชิญไปแล้วก็คงไม่มีใครออกมาเพราะมีผลกระทบกับภาพลักษณ์

"เห็นว่าแนวทางแก้ปัญหาพระที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ มีทางเดียวคือ เน้นไปที่พระปกครองและพระอุปัชฌาย์ที่จะคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาบวช โดยในการถวายตัวเป็นนาคก่อนบวชพระอุปัชฌาย์ต้องให้นาคอยู่วัดเพื่อดูความประพฤติเป็นเวลา 15 วัน เพราะที่ผ่านมาบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศก่อนบวชมักจะเก็บอาการได้ดี แต่หลังบวชจะออกอาการ แต่ให้ดูพฤติกรรมก่อนจะเป็นการคัดกรองได้ในระดับหนึ่ง เพราะคนกลุ่มนี้จะเก็บอาการได้ไม่กี่วัน โดยแนวทางนี้ มส.จะกำชับไปยังเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ พระผู้ปกครอง และพระอุปัชฌาย์ เป็นลายลักษณ์อักษรตามลำดับ" พระธรรมกิตติเมธี กล่าว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook