“หญิงปริศนา” บริหารเงินวัดวังตะวันตก ทั้งที่ไม่ได้เป็นกรรมการวัด
แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเกี่ยวกับการตายของ “สามเณรปลื้ม” แต่พอจะเห็นได้ว่า ผู้ต้องหาที่เป็นผู้หญิงในคดีนี้ ไม่ใช่แค่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงการบริหารจัดการผลประโยชน์ต่างๆภายในวัด เพราะพยานต่างบอกว่า เธอเป็นคนดูแลเรื่องผลประโยชน์ทั้งหมดแทน “อดีตเจ้าอาวาส” ทั้งที่ไม่เป็นกรรมการวัด
แผงเช่าพระในวัดตะวันตก สถานที่ฝังร่าง “สามเณรปลื้ม” มีค่าเช่าที่ 2 ราคา ถ้าแผงขนาดเล็ก ราคาวันละ 100 บาท เดือนละ 3000 บาท แผงขนาดใหญ่ วันละ 200 บาท เดือนละ 6000 บาท การจ่ายเงินให้กับวัดทั้งหมด ไม่มีใบเสร็จรับเงิน นี่เป็นหนึ่งในกิจการที่กลายเป็นรายได้ของวัดมาหลายปีแล้ว ทีมข่าว PPTV ทราบมาว่า การจะเข้ามาทำการค้าที่นี่ได้ ยังต้องจ่ายค่าแรกเข้า แผงเล็ก 3 หมื่นบาท แผงใหญ่ 6 หมื่นบาท ก่อนจะเข้ามาตั้งร้านในวัดได้ โดยทุกคนบอกตรงกันว่า การจ่ายเงินทั้งหมด จะต้องผ่าน หญิงที่มีชื่อว่า บิว หรือ นางสาวปิยฉัตร อรุณสกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาจาการตายของสามเณรปลื้ม
เงินรายได้ที่วัดวังตะวันตกได้รับ ยังมีค่าจอดรถ คันละ 30 บาท ซึ่งมีที่จอดได้ 40-50 คัน และมีรถหมุนเวียนเข้า-ออกตลอดทั้งวัน ทั้งมาที่แผงเช่าพระ มาที่โรงเรียน และมีตลาดขายผ้าพื้นเมืองใหญ่ที่สุดในภาคใต้อยู่หน้าวัด ทำให้ที่จอดรถไม่เพียงพอ หากคิดคร่าวๆแค่มีรถมาจอดวันละ 50 คัน จะมีรายได้จากส่วนนี้วันละ 1,500 บาท และยังเปิดให้เช่าพื้นที่สำหรับเป็นที่ตั้งของ “หมอดู” 2 จุดละ 500 บาท
ส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ รอบวัด มีอาคารที่เปิดให้เช่าร้านค้า รวม 84 ห้อง ห้องละ 500-1000 บาท รวมๆเดือนละกว่า 65,000 บาท และยังมีค่าที่ผู้เช่าเหล่านี้บริจาครายปีอีก บางรายบริจาคปีละ 1 แสนบาท เฉพาะส่วนที่บริจาคนี้ก็ตกปีละหลายล้านบาท และเมื่อรวมทั้งหมด วัดน่าจะมีรายได้ต่อปีรวมหลายล้านบาท ยังไม่รวมเงินบริจาครายวันจากพุทธศาสนิกชน ข้อมูลนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมนางสาวปิยะฉัตร จึงเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการเก็บเงินบริหารผลประโยชน์ในวัดได้
PPTV ได้ข้อมูลว่า นางสาวปิยะฉัตร เคยอ้างถึงสัญญาเช่าที่วัด เพื่อบริหารที่ดินของวัดทั้งหมดนี้ หมายความว่า เธอจ่ายค่าเช่าให้วัดเป็นเงินก้อน แล้วจึงมาบริหารจัดการผลประโยชน์เอง โดยแหล่งข่าว เคยเห็นว่าเป็นสัญญาที่น่าจะทำกับเจ้าอาวาส ที่อ้างว่าถูกขัง เพราะที่วัดนี้ไม่มีกรรมการวัด แต่ในทางคดีจนถึงวันนี้ ยังไปไม่ถึงจุดนั้น
ข้อมูลนี้ ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า ทำไมอดีตเจ้าอาวาส จึงให้นางสาวปิยฉัตร มาบริหารจัดการ เมื่อถามพยานหลายคนในวัดถึงข้อความที่อดีตเจ้าอาวาสให้การว่าถูกใส่กุญแจขังไว้ในกุฏิจนไปไหนไม่ได้ 2 ปี แต่หลายคนยืนยันว่าเคยเห็นอดีตเจ้าอาวาส ออกมาเดินข้างนอกบ่อยครั้ง
เมื่อสอบถามไปเรื่อยๆ ยังพบว่า นางสาวปิยฉัตร เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายพระมาแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2558 โดยพระที่ถูกทำร้าย ชาวบ้านเล่าว่า เป็นพระในวัดวังตะวันตกที่มีการป่วยจากการออกธุดงค์
ทีมข่าว ได้รับคำยืนยันจากพระครูพรหมเขตคณารักษ์ รักษาการเจ้าอาวาส ว่าวัดวังตะวันตก ไม่มีกรรมการวัดมาบริหารจัดการ และอาจใช้รูปแบบการตั้งกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารงานตามแต่ละภารกิจ เชน กรรมการกฐิน ผ้าป่า งานประจำปี ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า ใช้กรรมการเป็นบุคคลเดิมๆ และมีนางสาวปิยฉัตร เข้ามาดูแลสั่งการ โดยมีพระเด่นชัย ร่วมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้คือนายเด่นชัย ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของนางสาวปิยฉัตร ก่อนจะออกบวช หลังการตายของสามเณรปลื้ม