ไบโพล่าร์ไม่ใช่คนบ้า! "ดีเจเคนโด้" เปิดใจแค่ยอมรับว่าป่วยก็รักษาหายได้
ต้องชื่นชมว่าเป็นบุคคลที่กล้าหาญไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับ "ดีเจเคนโด้" หรือว่า "เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร" ที่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวเมื่อหลายปีก่อน ว่าตนเองเป็นผู้ป่วยด้านสภาวะอารมณ์ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า โรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) โรคที่มีความผิดปกติของอารมณ์เป็น 2 ขั้ว มีทั้งช่วงที่อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (Mania) และบางช่วงที่อารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ (Depressed)
และจากสถิติเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากคนไทยป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์กว่าล้านคน ซึ่งในบางคนรู้ตัวก็เข้าสู่กระบวนการรักษา แต่บางคนไม่รู้ตัวอาการจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นถึงขั้นฆ่าตัวตายนำมาซึ่งความสูญเสีย ซึ่งวันนี้ดีเจเคนโด้ในฐานะเป็นผู้ป่วยจึงมาเล่าเป็นวิทยาทานเพื่อจุดประกายคนที่กำลังป่วยหรือคนที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็สามารถหายใช้ชีวิตปกติได้
อาการป่วยระยะ (Mania) อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ
"ก่อนอื่นผมอยากทำความเข้าใจก่อนว่าโรคไบโพล่าร์เกิดจากอะไร หนึ่งก็คือมาจากพันธุ์กรรม สองเกิดจากเรื่องของสารเคมีในสมองมันไม่สมดุล ซึ่งหมายความว่าคนที่อยู่ในสังคมก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นไบโพล่าร์ได้เกือบทุกคน กรรมพันธุ์เราไม่รู้ว่ามาจากตรงไหนอย่างไร และก็เรื่องสารในสมองเราก็ไม่รู้ว่ามันจะสมดุลหรือไม่สมดุลเมื่อไหร่ และอาการของไบโพล่าร์มันจะมี 2 ระยะ คือระยะ (Mania) และระยะ (Depressed) ซึ่งตอนที่ป่วยระยะ (Mania) คนจะไม่ค่อยรู้เท่าไหร่มันเป็นระยะที่มีความสุขมากๆ เป็นระยะเหมือนขึ้นสุด ผมก็มีระยะขึ้นสุดที่เห็นภาพชัดเจนคือเรื่องการแต่งตัว จะชัดเจนเลยว่าตอนนั้นแต่งตัวเยอะมาก อยากทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด แต่เราไม่รู้หรอกเรารู้สึกแต่ว่าเราทำแล้วก็ถูกต้อง"
"ดีเจเคนโด้" เล่าเสริมว่าในช่วงป่วยระยะ (Mania) ตนเองมีอาการถึงขั้นคิดว่าสามารถเข้าทรงได้ คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษต่างๆ นานา เนื่องจากสมองสั่งให้มีพฤติกรรมเช่นนั้น ซึ่งคนเป็นไบโพล่าร์ก็จะเป็นเหมือนกันแต่แค่แสดงออกแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบุคลิกแต่ละคน
"ตอนนั้นผมนับถือเทพเจ้าจี้กงก็ไปซื้อน้ำเต้าซื้อเหล้ามา คือสไตล์ของไบโพล่าร์หลายๆ คนมันก็จะมาเองบางคนก็คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าแม่กวนอิม บางคนก็คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า บางคนที่ไปหาหมอก็ไปสอนคุณหมอเลยก็มี อย่างผมก็คิดว่าตัวเองเป็นร่างทรงของจี้กงจะปิดห้องอยู่คนเดียวร่ายมนต์พึมพำ และก็บอกแม่ว่าสื่อสารกับจี้กงได้คุยทุกอย่างกับท่านได้เพราะเราคือร่างทรง นี่มันเป็นอาการของโรคเลยคือเห็นตัวเองมีอำนาจวิเศษมันจะค่อยๆ ขยับตัวเองขึ้นไป เช่น ฉันเก่ง เก่งมาก เริ่มมีอำนาจวิเศษ บางคนถึงขั้นคิดว่าตัวเองเหาะเกินเดินอากาศได้อันตรายมากนะครับ ขึ้นไปบนตึกแล้วกระโดดลงมาเพราะคิดว่าตัวเองบินได้ก็จะเป็นถึงขั้นนั้น บางคนบอกว่าเป็นหนุมานไปตีลังกาให้หมอดูก็มี มันเป็นภาพที่ตลกก็ตลก เป็นภาพที่น่าสงสารก็น่าสงสารตอนที่คิดว่าตัวเองมีความวิเศษ"
ส่วนด้านพฤติกรรมความก้าวร้าวดีเจเคนโด้เผยว่าก็มีอาการเช่นกัน ถึงขั้นชี้หน้าว่าแขกรับเชิญและผู้ร่วมงานด้วยถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย
"เคยมีสัมภาษณ์ในรายการแล้วก็มี เป้ อารักษ์ มาให้สัมภาษณ์ผมทำให้เขาเดินหนีไปเลย ตอนนั้นเราก็คึกมากชี้หน้าเขาเลยว่าคนอย่างแกเล่นหนังมันจะดังได้ยังไงขายแต่หน้าตาความสามารถมีหรือเปล่าแรงมากๆ ซึ่งพื้นฐานผมก็เป็นคนตรงๆ และยิ่งมามีในส่วนของไบโพล่าร์มันก็เลยมีส่วนของความก้าวร้าวเข้าไปอีก ซึ่งทุกอย่างที่เราพูดอะไรออกไปเรารู้หมดแต่มันคือมั่นใจ ไบโพล่าร์ในช่วง Mania มันจะทำให้เรามั่นใจในทุกเรื่อง ตอนเป็นโปรดิวเซอร์ของรายการลูกทุ่งของ ททบ.5 ที่เขาดิน ก็พูดใส่ไมค์สั่งคนโน่นคนนี้แรงๆ หยาบๆ และก็เที่ยวเก่ง ใช้เงินเยอะ นอนก็ไม่ค่อยอยากจะนอน"
อาการป่วยช่วงระยะ (Depressed) อารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ
"เมื่อเข้าสู่ระยะ (Depressed) มันจะเริ่มรู้สึกไม่อยากจะทำอะไร นอนไม่หลับ อยากจะอยู่แต่บนเตียง ไม่อยากทำงาน ร้องไห้ ขับรถมาทำงานก็ร้องได้ ผมถึงขั้นทำร้ายตัวเองเอาจานกระเบื้องตีใส่ฝาผนังแล้วก็เอาจานที่แตกมาจิ้มแขนตัวเองเลือดไหลเต็มไปหมด ซึ่งเราก็ไม่ได้ตำหนิตัวเองเพราะตอนที่มีอาการมันไม่ใช่ตัวเรา ทั้งหมดทั้งมวลแล้วเป็นตัวเราที่ถูกครอบด้วยโรค เมื่อเรารู้ไม่ทันมันเรารักษาไม่ทันมันก็จะเกิดความเสียหายแบบนี้ และช่วงที่ผมเข้ารับการรักษาตัวก็ช่วงนี้แหละครับ"
"ซึ่งตอนที่ผมอ่านข่าวอยู่ช่อง 11 ได้อ่านข่าวก่อน หมอเบิร์ด อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ที่เป็นนางสาวไทย ท่านเป็นจิตแพทย์ก็รู้จักกันก็เลยไปคุยกับหมอว่าผมรู้สึกว่าผมมีพฤติกรรมแปลกๆ คุณหมอเบิร์ดก็ให้ไปหาที่โรงพยาบาล พอไปเจอคุณหมอก็ไปคุยปัญหาเรื่องราวต่างๆ ให้คุณหมอฟังคุณหมอก็บอกเคนโด้เข้าข่ายเป็นไบโพล่าร์ ซึ่งผมก็ยอมรับว่าเป็นเพราะผมอยากหาย อยากมีความสุข อยากทำงาน เรามาไกลแล้วจะทิ้งงานผู้ประกาศ พิธีกรไม่ได้ และมามัวซึมเศร้าแบบนี้ผมทนไม่ได้หรอกกับสิ่งที่สร้างมา"
นอกจากนั้นดีเจเคนโด้ยังได้บอกอีกว่าหลายคนมักมีความเข้าใจผิดๆ ตนจึงอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนเข้าใจว่าผู้ป่วยไบโพล่าร์ "ไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่คนโรคจิต"
"คนชอบเข้าใจไบโพล่าร์เป็นโรคเหมือนผีเข้าผีออกเป็นบ้าเพราะว่ารายการต่างๆ ในสื่อบ้านเรามักจะเอาไปเล่น มึงเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่าเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้บ้าหรือเปล่า มันเลยทำให้คนเข้าใจผิดว่าไบโพล่าร์คือบ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะผมก็เป็นมาหลายปีหลังจากที่ตัวเองดีขึ้นก็อุทิศตัวเองให้กับด้านนี้ อยากจะพูดให้คนเข้าใจและยืนยันว่าไบโพล่าร์ไม่ใช่บ้า ไบโพล่าร์ไม่ใช่โรคจิต โรคจิตคือประเภท หูแว่ว ภาพหลอน"
"แต่ไบโพล่าร์จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางอารมณ์ที่จะสามารถรักษาหายได้ด้วยยาและจิตบำบัด ผมจะบอกเสมอการไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลย การไปหาจิตแพทย์มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เมื่อเราได้ปรึกษาเราจะได้ตัดเรื่องอารมณ์ความคิดอะไรออกไป เราจะมีสติมากขึ้น คนที่ไม่ได้ป่วยเป็นไบโพล่าร์น่ากลัวกว่าคนที่ป่วยด้วยซ้ำ ที่ยิงกันฆ่ากันก็เพราะว่าควบคุมอารมณ์สติตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้คนธรรมดาที่ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ผิดปกติทางอารมณ์ก็ควรจะดูแลตัวเองให้เทียบเท่ากับไบโพล่าร์"
อยู่อย่างไรเมื่อเป็น... "ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์"
"ผมแนะนำให้สังเกตตัวเองถ้าเกิดบุคลิกเราเปลี่ยนอยู่ดีๆ จากคนทำงานปกติก็เริ่มรู้สึกว่าฉันไม่อยากตื่นขึ้นมาทำงาน ทำไมฉันกินได้น้อยลง ไม่อยากกินอะไร เบื่ออาหารไปหมด เคยนอนได้ก็กลายเป็นนอนไม่หลับ เคยมีศักยภาพทำงานได้ติดต่อผู้คนได้ ไม่อยากโทรหารับสายใครฉันไม่อยากทำอะไรเลย อาการนอนเป็นสิ่งที่สังเกตได้มากที่สุดถ้าเรามีความผิดปกติทางด้านการนอนหมายความว่าสุขภาพจิตเรากำลังแย่ นอนไม่หลับเกินสามวันหมอบอกผมเลยว่าเสี่ยงแน่"
ผมถึงอยากบอกว่าถ้าคุณไม่มีความสุขในชีวิตคุณจะปล่อยตัวเองไว้ทำไม คุณไปหาหมอแล้วคุณจะรู้เลยว่าการรักษามันง่ายมากรู้อย่างนี้ไปหาตั้งนานแล้ว มานั่งปล่อยให้ตัวเองไม่มีความสุขทำไม และก็เกิดความเสียหายกับชีวิตตัวเอง บางทีก็ไปสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนเจ็บหมดผมเจ็บเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับทางอารมณ์ผมก็ต้องดูแลรักษาตรงนี้ แต่พอตัวเองหายก็มาแชร์ให้กับสังคมได้รับรู้และก็ช่วยเหลือคนต่อไป เอาสิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์มาสร้างให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นดีกว่าครับ"
เครดิตภาพ : @djkendo100.5 : เฟซบุ๊ค ดีเจเทวดาเคนโด้
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ