มันเป็นใคร! มันเด็กใคร? "โอ อนุชิต" กับเสต็ปชีวิตเบื้องหลังคนดังที่ไม่ง่าย
ต้องยอมรับว่าการจะมาเป็น ศิลปิน-ดารา ณ ปัจจุบันนั้นมีช่องทางที่หลากหลาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะสามารถยืนอยู่ในวงการได้อย่างยาวนาน แต่สำหรับบางคนเหมือนโชคชะตาลิขิตไว้แล้วให้เริ่มต้นมาอดีตคนเบื้องหลังที่คอยช่วยเหลือคนเบื้องหน้า "โอ อนุชิต" ก็คืออีกหนึ่งคนเบื้องหลังที่มาจากการเป็นแดนซ์เซอร์ให้นักร้องดัง อาทิ ทาทา ยัง มอส ปฏิภาณไชน่าดอล ฯลฯ มาสู่บทบาทนักแสดง ซึ่งหนุ่มโอได้เปิดใจกับทีมข่าว Sanook News! ในงาน มาดามทุสโซฯ ฟื้นตำนานดนตรีป๊อบระดับโลก "ไมเคิล แจ็คสัน" และ "บริทนีย์ สเปียร์" ของห้อง Music Room
"ไมเคิล แจ็คสัน" ผู้จุดประกายให้ผมรู้จักการเต้น
"ถ้าพูดตรงๆ เลยคือรู้ตัวว่าตัวเองชอบเต้นตอนอยู่ ม.1 ตอนนั้นโรงเรียน เขาจะมีกิจกรรมวิชาการ วันนั้นบูธวิชาภาษาอังกฤษเปิดวิดีโอ ไมเคิล แจ็คสัน ผมก็เข้าไปดูในขณะที่วิดีโอเปิดไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไมเคิลจับเป้าเด็กคนอื่นๆ ก็จะหัวเราะขำสนุกสนานกัน แต่สำหรับโอมันเหมือนช็อกตะลึง คนนี้คือใครสิ่งที่เขาทำอยู่บนเวทีแล้วคนข้างล่างนับหมื่นกรีดร้อง ร้องไห้อยากสัมผัสตัวเขา เขาคือใคร ทำไมๆ คนถึงได้คลั่งไคล้เขาขนาดนี้สำหรับโอมันเหมือนสิ่งมหัศจรรย์เพราะว่าการเคลื่อนไหวของเขามันคือมายากล การเดินไปข้างหน้าแต่ว่ามันก้าวไปข้างหลัง ก็เลยค่อยๆ ติดตามเขาไปเรื่อยๆ ก็เลยได้รู้ว่าเขาคือสุดยอดของมนุษย์คนหนึ่ง"
"และตอนเด็กๆ โอรู้ตัวว่าโอเป็นคนชอบเต้นอยู่แล้ว โอไม่อายที่จะไปรำหน้าขบวนแห่นาคเพราะรู้สนุก แต่ไมเคิลเขาทำให้เราอยากเป็นแบบนั้น เราไม่เคยคิดว่าเราอยากเป็นแบบใคร ไมเคิลทำให้โอกลับบ้านไปทุกวันและใจจดใจจ่อที่จะเอา BSS เข้าไปในเครื่องและก็นั่งกรอไปกรอมา ถอยหลังสโลว์ก้าวทีละก้าว ทำแต่แบบนี้ทุกวันวนไปวนมา และก็ทำให้โอรู้ว่าการเต้นมันมีหลายแบบมันไม่ใช่แค่ ไมเคิล แจ็คสัน มันยังมีคนอื่นๆ พวกบอยแบนด์ มีศิลปินผู้หญิง มีศิลปินผู้ชาย เราก็เลยเริ่มเรียนรู้ ศิลปินไทยเริ่มเห็น พี่เจ เจตริน ทาทา ยัง และก็เริ่มรู้ว่าเวลาที่เราเต้นทุกครั้งแล้วมีความสุข"
จากความชอบสู่วงการ "แดนเซอร์มืออาชีพ"
"ในยุคนั้นมันก็เริ่มมีการประกวดเยอะแยะมากกมาย แต่ส่วนตัวผมแบบไม่ชอบการประกวดจนกระทั่งมันมีนักร้องวงหนึ่งเข้ามาเมืองไทยชื่อว่า She Moves เขาเป็นผู้หญิงสามคนซึ่งเต้นเก่งมาก และจะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทย ประเด็นคือเราไม่มีเงินซื้อตั๋วเขาก็มีการประกวดเต้นแล้ว She Moves จะมาเป็นกรรมการ และนั่นจึงเป็นการประกวดเต้นครั้งแรกในชีวิตของผมก็ได้เข้ารอบ มันก็เลยทำให้ผมได้เริ่มรู้จักวงการประกวดเต้นมากขึ้น จนมีเพื่อนคนหนึ่งเขากำลังจะประกวดเต้นซึ่งก็เป็นงานใหญ่พอควร เขาเห็นว่าสไตล์โอดูน่าสนใจน่าจะเข้ากับทีมเขาได้เขาก็เลยชวนไปอยู่ทีมเขา และก็ชนะเลิศอันดับหนึ่งของประเทศ"
"จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นคือครูอู๋เป็นกรรมการ และเขาเห็นว่าคนนี้ดูน่าสนใจ เขาก็เลยเรียกไปออดิชั่นเข้าไปเต้นในแกรมมี่ และความฝันสูงสุดของผมคือการอยากเป็นแดนเซอร์ให้กับ ทาทา ยัง แต่พอโอได้เข้าไปที่แกรมมี่ ก็เป็นช่วงที่ ทาทา ยัง ออกจากแกรมมี่ไปแล้ว แต่เราก็ได้เต้นให้กับศิลปินในแกรมมี่ไป ไชน่าดอล มอส ปฏิภาณ จนกระทั่งวันนึงทาทากำลังจะทำอัลบั้มเพลงไทยครั้งแรก เขาก็เปิดออดิชั่นใหญ่ ผมก็เลยขอโอกาสทางแกรมมี่ไปออดิชั่นได้มั้ย ตอนนั้นเข้าไปทาทาก็นั่งอยู่ข้างหน้าเราก็เต้นตามที่เขาสอน ก็เต้นไปโดยที่ไม่รู้หรอกว่าได้หรือไม่ได้ จนในที่สุดบ่ายวันนั้นก็กลับบ้านแล้วเขาก็บอกว่าถ้าใครได้เข้ารอบเขาจะโทรมาบอก ตอนนั้นก็หวังเล็กๆ แต่ก็เผื่อใจไว้พอสมควรเพราะรูปลักษณ์และบอดี้เราก็ไม่ได้ใหญ่ แต่ในที่สุดทีมงานก็โทรมาบอกให้จดคิวเต้นทาทา เชื่อมั้ยโออยู่ตรงหน้าลีโด้สยาม ร้องไห้น้ำตาไหล"
"มันเป็นใคร…มันเด็กใคร" คำครหาที่ทำผมต้องพิสูจน์ตัวเอง
"งานแรกของโอคืองานพลังแผ่นดินเป็นงานใหญ่ของแกรมมี่รู้สึกจะจัดที่ลานพระรูป นั่นเป็นงานแรกของโอในแกรมมี่มีแดนเซอร์ 40 คน แบ่งเป็นแดนเซอร์เมนอยู่แถวหน้า 10 คน ที่เหลือคืออยู่แถวสอง โอได้อยู่แถวหน้าคนที่เป็นแดนเซอร์ 10 คนซึ่งโอไม่เคยเต้นแกรมมี่มาก่อน ทีนี้ทุกอาชีพมันก็ต้องมีคนที่ทำมาก่อนอยู่แล้ว มันก็มีเสียงเข้ามาให้เราได้ยินว่า เด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมเพิ่งเข้ามาแล้วได้อยู่ข้างหน้าเลยมันเป็นใคร แล้วพี่คนอื่นที่เขารู้สึกทำไมฉันถึงไม่ได้อยู่ข้างหน้างั้นฉันก็ไม่เต้นงานนี้พอมันมาถึงหูเราโอก็ไปบอกกับพี่ที่เขาเป็นคนจัดแดนเซอร์ งานแรกของผมให้ผมอยู่แถวหนังก็ได้ ไม่ต้องให้โออยู่แถวหน้า แล้วเขาก็บอกว่าการที่โอมาพูดกับพี่แบบนี้ทำให้พี่เสียใจ"
"ทำไมโอไม่ทำและพิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นว่าเพราะฉันเก่งฉันถึงได้มายืนแถวหน้าไปแคร์ความรู้สึกของคนเหล่านั้นทำไม โอก็เลยรู้มาคิดว่าก็จริงโอก็เลยทำและตั้งใจทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เขาเห็นว่าทำไมเราถึงได้เป็นแดนเซอร์เมน 10 แรก และยังไม่จบเท่านั้นปรากฏว่างานนั้นต้องมีการต่อท่าเต้นพี่คนที่เขาให้โอเป็นแดนเซอร์เมน 10 คนแรกเขาสอนท่าให้โอและให้โอสอนทั้ง 20 คน มันเป็นอะไรที่หนักใจและกดดันมาก เพราะว่าหนึ่งในยี่สิบคนเขาแอนตี้เราอยู่แล้ว นี่ยังมาสอนเขาอีกมันก็ตื่นเต้นแต่ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าเพราะอะไรเราถึงได้รับความไว้วางใจ"
"ความสุข" เมื่อครั้งหนึ่งผมเคยเป็น "คนเบื้องหลัง"
"โอว่ามันต้องแยกกันก่อนเพราะความสุขจากการเต้น และการทำเป็นอาชีพไม่เหมือนกัน บางคนเอาความฝันความสุขมาทำเป็นอาชีพและก็พบว่ามันไม่สนุกซะเลย เพราะว่าพอมันเป็นอาชีพมันมีอะไรที่นอกเหนือกว่านั้น การเต้นในท่าที่คนอื่นคิดให้ เต้นในท่าที่คนอื่นสั่ง การต้องซ้อมกับมันเยอะๆ ซึ่งท่าบางท่าเราก็ไม่ได้อยากเต้น แต่พอมันเป็นงานแล้วเราต้องทำมันก็ต้องแยกแยะว่ามันเป็นงานแล้วมันก็ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นต้องหาจุดของมันให้เจอซึ่งโชคดีที่โอหาจุดนั้นเจอ"
"โอว่าจริงๆ การเต้นมันก็เหมือนหลายๆ อย่างคนที่เก่งสุดคุณจะถูกมองมากที่สุด ครูโอ๋เคยบอกว่าโอมีเส่นห์ของโอที่คนอื่นไม่มี โอไม่ได้เต้นเก่งกว่าคนอื่นแต่โอก็มีอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่มี ก็เลยทำให้เราดูน่าสนใจบนเวที ครูอู๋เคยพูดออกไมค์ครั้งนึงว่า โอทำไมแกดูมีความสุขจังเวลาอยู่บนเวทีซึ่งโอก็มีความสุขจริงๆ โอมีความสุขมากที่โอได้เต้น และโอว่ามันก็คงเด่นออกมาจากคนอื่นๆ ซึ่งบางคนเขาอาจจะเต้นเพราะมันเป็นงานหรืออะไรก็ตาม แต่สำหรับโอเต้นเพราะว่ามันมีความสุข"
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ