ลุงโอดศาลสั่งติดคุกรุกที่สาธารณะ แต่อีก 50 หลังไม่โดน

ลุงโอดศาลสั่งติดคุกรุกที่สาธารณะ แต่อีก 50 หลังไม่โดน

ลุงโอดศาลสั่งติดคุกรุกที่สาธารณะ แต่อีก 50 หลังไม่โดน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลุงบุรีรัมย์โอดร้องสื่อ โดนศาลสั่งติดคุก 6 เดือน ปรับ 5 พันบาท ฐานบุกรุกที่สาธารณะทำการเกษตร แต่เป็นงงเพราะคนอื่นๆ อีก 50 รายไม่โดนอะไรเลย ทั้งที่มีความผิดรุกล้ำพื้นที่เหมือนกัน ด้านนายอำเภอแจงยังไม่ได้รับเรื่อง

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งร้องเรียนจาก นายอุดม อายุ 54 ปี ชาวบ้านโคกยาง ต.ชำนิ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ได้นำหลักฐานที่ดินสาธารณะประโยชน์ "หนองกวางงอย" ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ ต.ชำนิ และ ต.บ้านสิงห์ พร้อมหลักฐานคำพิพากษาศาล ออกมาร้องขอความเป็นธรรม

เนื่องจากตนเองและชาวบ้านในหมู่บ้านอีก 2 คน ถูกทางเทศบาลตำบลชำนิ แจ้งความกล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์หนองกวางงอย ทำการเกษตรเพาะปลูกพืชไร่ เมื่อปี 2556 กระทั่งได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนชาวบ้านอีก 2 คน ถูกสั่งจำคุกเช่นเดียวกันแต่ไม่รอลงอาญา

แต่ขณะที่ผู้ประกอบการและชาวบ้านคนอื่นๆ อีกกว่า 50 ครัวเรือน ที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัย ทำการเกษตร และประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม อยู่ในที่สาธารณะแปลงเดียวกันกลับไม่ถูกแจ้งความเอาผิด ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ จึงอยากให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

นายอุดม เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นส่วนตัวคิดว่าการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะหากจะเอาผิดกับผู้บุกรุกครอบครองที่สาธารณะ ก็ต้องดำเนินการเอาผิดกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยตนเองและชาวบ้านทั้ง 3 คนเพียงครอบครองเพื่อทำการเกษตรเท่านั้น แต่มีบางรายบุกรุกครอบครองให้เช่า และทำธุรกิจกลับไม่ถูกดำเนินคดี จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการให้เป็นมาตรการเดียวกัน

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามประเด็นนี้กับ นายสุทธิพร ณ นคร นายอำเภอชำนิ ซึ่งกล่าวว่า ตนเพิ่งย้ายมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอชำนิ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2556 แต่จากการสอบถามข้อมูลจากทางเทศบาล ทราบว่าพื้นที่ป่าสาธารณะดังกล่าวมีอยู่กว่า 2,000 ไร่ และมีราษฎรเข้าไปครอบครองปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และทำการเกษตรอยู่กว่า 50 ครัวเรือนจริง เนื่องจากไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นของตัวเอง

ส่วนกรณีที่มีราษฎรบางรายถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่สาธารณะนั้น ก็จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง แต่ขณะนี้ยังไม่มีร้องเรียนมายังทางอำเภอเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว มีเพียงการร้องเรียนให้ตรวจสอบเกี่ยวกับโรงปูนที่ทำการก่อสร้างในที่สาธารณะและสร้างมลภาวะเท่านั้น ซึ่งทางอำเภอก็ได้ประสานอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบตามที่มีการร้องเรียนแล้ว และได้ดำเนินการเอาผิดกับโรงปูนดังกล่าวแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook