อุ๋ย บุดดาเบลส เคลียร์ยาว! ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต

อุ๋ย บุดดาเบลส เคลียร์ยาว! ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต

อุ๋ย บุดดาเบลส เคลียร์ยาว! ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เจอดราม่าเข้าจนได้ สำหรับแรปเปอร์หนุ่ม "อุ๋ย บุดดาเบลส" หรือ "อุ๋ย นที เอกวิจิตร" หลังมีคลิปของเจ้าตัวขณะกำลังเข้าคอร์ส "เข็มทิศชีวิต" ซึ่งนำโดย "ครูอ้อย ฐิตินาถ" ถูกเผยแพร่ในโลกโซเชียลฯ จนเป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องตัดสินใจโพสต์ข้อความชี้แจงผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัว เนื่องจากต้องการขอให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องช่วยลบคลิปดังกล่าวออก เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนที่ได้เห็น

ซึ่งล่าสุดบรรดาสื่อได้มีโอกาสเจอกับกับหนุ่มอุ๋ยจึงได้เข้าไปสอบถามเพิ่มเติมถึงประเด็นดังกล่าว โดยเจ้าตัวก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ตนเดินทางไปเข้าคอร์สวันนั้นก็เป็นเพราะทางครูอ้อยสนใจอยากให้เข้าไปช่วยทำเพลง จึงให้ทดลองศึกษาดูก่อนในระยะสั้นเพื่อใช้เป็นข้อมูล แต่เนื่องจากตนรู้สึกยังติดขัดกับว่าแนวทางการสอนบางอย่างจึงได้ตอบปฏิเสธในภายหลัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้ประมาณ 4-5 ปีแล้ว พร้อมกับยืนยันชัดเจนว่าตนเองนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของครูอ้อย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเข็มทิศชีวิตแน่นอน...

เกี่ยวกับประเด็นเข็มทิศชีวิตที่มีภาพของเราออกมา มีอะไรอยากจะชี้แจงเพิ่มเติมบ้าง ?
"อ๋อ...ของครูอ้อยเหรอครับ ก็ผมเคยได้รับการติดต่อจากเขามาประมาณ 4-5 ปีก่อน โดยบอกกับผมว่าอยากจะให้ไปช่วยทำเพลงของโครงการ ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาสอนเกี่ยวกับอะไร เขาก็เลยเสนอมาว่าให้ผมไปทดลองเรียนคอร์ส 7 วัน ดูก่อน แต่ตอนนั้นผมว่างไปแค่ 4 วันหลัง ก็เลยได้ไปลองดูแค่นั้น ซึ่งหลังจากที่ลองแล้วมันก็มีบางอย่างที่ผมเองรู้สึกไม่เห็นด้วยก็เลยไปถกเถียงกับครูอ้อยเขาในคลาส และคำตอบที่ได้มาตัวผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ"

"คือเข้าใจสิ่งที่เขาสอนไม่กระจ่างบวกกับรู้สึกติดขัดอยู่บางข้อ ดังนั้นพอผมได้ทดลองจนจบคอร์ส ผมก็เลยบอกกับครูเขาไปว่า "ผมขอไม่รับทำเพลงละกัน" และผมก็จำได้ด้วยนะครับว่าตอนนั้นผมได้บอกกับทีมงานไปว่า "ผมขอจ่ายสตางค์ได้ไหม จะได้ไม่รู้สึกติดข้างอะไรกัน" ซึ่งตอนนั้นทีมงานเขาก็พาผมไปหาครูอ้อย"

"ครูอ้อยก็เลยบอกว่า "รับไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องจ่ายสตางค์ เหมือนเป็นการทดลองเรียนเฉยๆ เพื่อจะได้รู้ว่าควรเขียนเพลงยังไง แต่ถ้าหากเราฟังแล้วเราไม่ได้จะทำงานร่วมกันก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องจ่ายสตางค์" ซึ่งพอครูอ้อยเขายืนยันมาแบบนั้นผมก็โอเค และก็ขอบคุณเขาไป หลังจากนั้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย 4-5 ปี แล้วมั้งครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว"

"จนกระทั่งผมมีโอกาสได้มาเห็นคลิปวีดีโอที่ถูกโพสต์ลงบนเฟสบุ๊ค และก็มีพวกที่อกหักจากรอบที่แล้วมั้งครับ ตอนที่ผมออกมาพูดเรื่องวัดแถวปทุมธานี เข้ามาเหน็บแนมผม บอกว่าผมไปว่าวัดเขาแล้วทำไมมาอยู่ลัทธิแบบนี้ได้ ซึ่งเดี๋ยวก่อนครับ ให้ผมอธิบายก่อน คือผมไม่ได้เป็นสาวกใคร ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ใคร และทางครูอ้อยเองเขาก็ออกมายืนยันแล้วว่าผมไม่เคยเป็นลูกศิษย์เขา"

"รวมถึงที่ผมไปเมื่อสมัยก่อน ผมเองก็ไม่ได้เห็นว่าเขาจะมีการเกี่ยวข้องอะไรกับศาสนา เพราะคลาสเขาก็สอนในลักษณะใช้จิตวิทยาแนะแนว คนอกหัก ท้อแท้ ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต เพื่อให้เขาได้กระตุ้นตัวเอง แต่ส่วนเรื่องที่ไปปฏิบัติธรรมอันนี้ผมก็ได้คุยกับคนในคลาสนะว่าเขามากี่ครั้งแล้ว มาแล้วเป็นยังไงบ้าง ซึ่งก็มีบางคนที่เขาดีขึ้นจริง และพอออกไปครูอ้อยก็ชวนไปปฏิบัติธรรม แต่บางคนก็บอกว่าไม่เก็ต เหมือนกับผมเองที่ไม่เก็ตและก็ไม่คิดจะกลับเข้าไปอีก เพราะผมมีแนวทางของผมอยู่แล้ว"

"ส่วนสาเหตุที่ผมต้องติดต่อไปทางทีมงานครูอ้อย ก็เป็นเพราะตอนที่ผมเห็นคลิปผมก็กลัวว่าจะมีคนเข้่าใจผิด เนื่องจากทุกวันนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเขาสอนยังไง เนื่องจากครั้งล่าสุดที่้เจอก็คือเมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้หลักสูตรยังเป็นเหมือนที่เคยเห็นหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากมันไม่ใช่และมีผมอยู่ในคลิปด้วย ผมก็สามารถถูกกล่าวหาได้ครับว่าทำไมทีแบบนี้ผมไม่เห็นออกมาว่าเขาเลย"

"ดังนั้นผมก็เลยต้องออกมาปกป้องตัวเอง และขอให้ทีมงานครูอ้อยช่วยเอารูปผมออก ซึ่งเขาก็ถามนะว่าเป็นเพราะอะไร ผมก็เลยอธิบายให้เขาฟังว่า "มีคนนำไปโจมตี ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะผมไม่ได้เป็นลูกศิษย์ครูอ้อย และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าทุกวันนี้้เขาสอนอะไร" ซึ่งพิผมอธิบายจบปุ๊ปเขาก็เอาออกให้เลย"

"แต่ทางทีมงานเขาก็ถามผมนะว่า เนื่องจากตอนนี้เขามีปัญหากับลูกศิษย์เก่า เขาเลยอยากรู้ว่ามีใครโทรมาคุยกับผมบ้างไหม คือเขานึกว่าผมจะโดนคนที่เขามีคดีความด้วยหว่านล้อมให้ผมไปอยู่ฝ่ายนั้น ผมก็เลยบอกเขาไปว่าใจเย็นๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมแค่คนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับบุคคลอื่น และการที่ผมมาขอให้เขาเอาคลิปผมออก ก็เป็นเพราะผมโดนไอพวกที่งี่เง่าเอาผมไปโจมตี ไปล้อเลียน ดังนั้นผมก็เลยต้องออกมาปกป้องตัวผมเองว่าผมไม่เกี่ยว ส่วนคุณจะไปทะเลาะกับใครนั่นมันก็เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่ยุ่งครับ"

แสดงว่าการพูดคุยกับฝั่งครูอ้อยวันนั้นก็คือการคุยกันด้วยดี ไม่ได้มีปัญหากัน ?
"ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเขาเลย คือถ้าผมจะทะเลาะผมคงทะเลาะผมคงทะเลาะตั้งแต่ 4-5 ปีก่อนแล้ว และอย่างที่บอกทุกวันนี้ผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาสอนอะไร ดังนั้นผมก็คงไปว่าเขาไม่ได้ เพราะ 1.คือการผิดพระวินัย การผิดพระวินัยมันเอาผิดเขาไม่ได้ เนื่องจากเขาเป็นแค่ฆารวาส 2.คือการผิดกฏหมาย ซึ่งเขาจะผิดกฏหมายหรือเปล่านั้น"

"อันนี้ก็ต้องให้เป็นเรื่องของกฏหมายในการดำเนินการ คือจะไปเลี่ยงภาษี ปั่นหุ้น หรืออะไรที่เป็นข่าวกันอยู่ทุกวันนี้เราก็คงต้องให้ทางกฏหมายเขาเป็นคนจัดการ ซึ่งกฏหมายเขาก็ดำเนินการกันอยู่ ส่วนไอเรื่องเอาศาสนามาหากินเป็นเรื่องไม่สมควรหรือเปล่า ทำไมไม่เห็นผมออกมาว่าบ้าง คือสำหรับผมแล้วนะ ศาสนาพุทธคำสอนก็เป็นเรื่องสากล ขนาดหนังสือยังมีการพิมพ์ขายเต็มไปหมด แล้วแบบนั้นเราเรียกว่าเป็นการเอาศาสนามาหากินหรือเปล่า คือมันเป็นเรื่องของความเหมาะสมมากกว่า"

"อีกอย่างตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นตำรวจพระที่จะต้องออกมาจัดการเรื่องศาสนาตลอดเวลา คือถ้าเห็นเป็นประเด็นใหญ่จริงๆ อย่างตอนธรรมกาย ตอนนั้นผมถึงได้ออกมาพูด เพราะเนื่องจากว่ามันผิดกฏหมายจริง และทางรัฐเองก็ได้ใช้กำลังตำรวจทหารเยอะแยะแต่เรื่องก็ยังไม่จบ ทุกวันนี้ยังจับไม่ได้เลย"

"ผมก็เลยออกมาพูดในตอนนั้น แต่ผมไม่ใช่ตำรวจพระไงครับที่จะต้องออกมาพูดเรื่องศาสนาตลอดเวลา ผมไม่ได้อวดดีว่าถ้าเป็นเรื่องศาสนาผมต้องออกมาพูดตลอด ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นครับ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นกันคือสื่อเขามาสัมภาษณ์เอง ผมไม่ได้วิ่งออกไปเพื่อออกตัวว่าถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาเราจะต้องออกมาพูด"

ส่วนตัวเราเองกับประเด็นนี้ ถูกโจมตีมากน้อยขนาดไหนจากฝั่งครูอ้อย ?
"ไม่มีนะครับ ผมก็ไม่ได้โดนโจมตีอะไรจากฝั่งครูอ้อย และสิ่งที่ผมออกมาพูดในเฟสบุ๊ค ผมก็คิดว่าผมพูดด้วยความโครตเป็นธรรมแล้วนะครับ ทุกคนสามารถเข้าไปดูได้ และอย่างที่บอกทุกวันนี้ผมเองก็ไม่ได้ทราบด้วยว่าเขาสอนอะไร ผมก็เลยไม่ได้เข้าไปโจมตีเขา เพียงแต่ผมแค่พูดในส่วนของผมที่ผมเคยไปเจอมา และผมก็ไม่คิดด้วยว่าผมจะต้องกลับเข้าไปอีกเพราะมันไม่ใช่แนวทางของผม เรื่องมันก็แค่นั้นแหละครับ"

เราได้มีโอกาสพูดคุยกับดาราคนอื่นที่มีแนวคิดไม่ตรงกันบ้างไหม ?
"ผมไม่ได้ถามเขานะครับว่าแนวคิดไม่ตรงกันยังไงบ้าง แต่ผมก็ได้คุยกับคนอื่นๆ บ้างเหมือนกัน ซึ่งก็ตามที่เห็นเลยครับที่มีคนออกมา คือบางคนเขาไม่สบายใจที่จะให้ใช้ภาพของเขา ซึ่งเรื่องนี้เขาจะคิดยังไงผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นในมุมของผมก็คือตามที่เล่าไปทั้งหมดครับ"

พอจะบอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยและไม่คิดจะกลับไปอีก ?
"ส่วนตัวผม ผมรู้สึกว่าเวลาผมมีความทุกข์ผมก็คลายทุกข์ได้โดยการใช้ธรรมะ ไม่จำเป็นจะต้องเข้าคอร์สเป็นหมื่น แต่สำหรับคนที่เขาอยากจะเสียเงิน คือมันก็เป็นการขายบริการอย่างหนึ่งอ่ะครับ ทำให้คุณรู้สึกขึ้น อย่างบางคนก็เลือกดูหนัง หรือเลือกที่จะฟังเพลง ซึ่งมันมีวิธีการสารพัด และอันนี้มันก็เป็นบริการอย่างหนึ่ง เหมือนเรื่องธรรมกายนั่นแหละครับ คือผมไม่เคยโจมตีคนที่ไปวัด แต่ผมแค่พูดถึงคนที่ทำผิดกฏหมายอย่างเดียว เจ้าอาวาสที่หนีไป ส่วนสำหรับคนที่เขาศรัทธราอันนี้ผมไม่ยุ่งผมไม่ก้าวก่ายอยู่แล้วครับ มันเป็นเรื่องของเขาผมไม่เคยไปว่าอะไร"

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ อุ๋ย บุดดาเบลส เคลียร์ยาว! ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook