มองร่างสัญญาประชาคม 10 ข้อ มองความจริง “ปรองดอง”
เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจขึ้นมาอีกครั้งกับ แนวคิด ความพยายามในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งในเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม และ หยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกนาน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะนานอีกเท่าใด... แต่ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จริงๆแล้ว คนไทยต้องให้ความสำคัญ และ ใช้ความจริงใจ เพื่อจะนำไปสู่ทางปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริงๆ
“ความปรองดอง” ของคนในชาติ...จะกินความกินความหมายขนาดไหนยากที่จะบอกได้ แต่ที่สังคมไทยต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นวาระสำคัญย่อมมีที่มา เราคงต้องยอมรับว่า ความแตกแยกทางการเมือง การแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมไทย ขยายลึกมาก และกินเวลายาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สังคมไทย
การแตกแยกทางความคิดที่นำไปสู่ การใช้ความรุนแรงเข้าเข่นฆ่า ทำร้ายคนที่เห็นต่าง เพื่อช่วงชิงอำนาจการกุมอำนาจรัฐ เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตัวเอง จนทำให้สังคมไทยแตกแยกจนเกือบจะไปสู่ยุคของกลียุค อาจเดินไปสู่สงครามกลางเมืองได้ไม่ยาก จนกระทั้ง กลุ่มทหารที่เรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเข้ามากุมอำนาจรัฐ ทำให้คู่ขัดแย้งจำต้องถอยออกมา แต่ก็มีบางกลุ่มมองว่า การเข้ามาของกลุ่มทหาร คสช.แท้จริงเป็นการวางหมากวางเกม เป็นส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายที่แยกกันทำงาน เพื่อสร้างเงื่อนไข ให้กลุ่มทหารเข้ามายึดอำนาจรัฐ
ดังนั้น แนวคิด การสร้างความปรองดองของชาติ ที่คณะทำงานตามที่รัฐบาล คสช.จัดตั้งขึ้นมาหาแนวทางนี้ จึงยังเป็นที่สงสัย ว่าจะนำไปสู่หนทางของการสร้างความปรองดองได้จริงหรือไม่ การดำเนินการหาแนวทางแม้คณะกรรมการจะมีการเชิญตัวแทนกลุ่มต่างๆที่เป็นคู่ขัดแย้ง มาเสนอแนวทาง และมีการสรุปแนวทางออกมาล่าสุด ที่เรียกว่า “ร่างแรกสัญญาประชาคม 10 ข้อ เพื่อนำไปสู่ความปรองดอง”
โดยมีสาระสำคัญตามที่มีการนำเสนอของสื่อ ดังนี้
1.คนไทยทุกคนพึงร่วมกันสร้างบรรยากาศของความสามัคคีปรองดอง...ใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมในกรอบกฎหมาย... มีส่วนร่วมกับการเมืองภาคประชาชน... ส่งเสริมสถาบันการเมืองให้มีความเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่โปร่งใส... และยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นฉันทามติของคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งร่วมกันตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐและการแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกในระบบรัฐสภา
2.คนไทยทุกคนพึงน้อมนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้ให้สอดคล้องกับการดำรงชีวิต...
3.คนไทยทุกคนพึงยึดมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมในการดำเนินชีวิต รวมทั้งร่วมกันตรวจสอบไม่ให้มีการทุจริตในทุกระดับ...
4.คนไทยทุกคนพึงร่วมมือกันสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...
5.คนไทยทุกคนพึงให้การสนับสนุนส่งเสริมการดูและคุณภาพชีวิต การสาธารณสุข การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงเท่าเทียม...
6.คนไทยทุกคนพึงเคารพเชื่อมั่นและปฏิบัติตามกฎหมาย...
7. คนไทยทุกคนพึงใช้ความรอบคอบในการรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ และร่วมกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการบิดเบือนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม
8. คนไทยทุกคนพึงตระหนักในการส่งเสริมให้สังคมมีมาตรฐานสากลตามกฎกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี
9. คนไทยทุกคนพึงสนับสนุนและส่งเสริมการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน...
10. คนไทยทุกคนพึงพึงเรียนรู้ ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ
จากการนำเสนอล่าสุด แม้ท่าทีโดยรวมของบรรดา นักการเมือง จะขานรับพร้อมจะเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง แต่ ลึกๆลงไปเชื่อได้ว่า ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติที่พร้อมจะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกอย่างไม่ยากเย็น ตราบที่บรรดานักการเมืองเหล่านี้ยังมองแต่ประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้มากผลประโยชน์ของสังคมเป็นใหญ่อย่างแท้จริง
ปรากกฎการณ์ กระแสความไม่พอใจ ร่างกฎหมาย คดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ฉบับใหม่ โดยอ้างว่าไม่เป็นสากล ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆที่มีการมองกันว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปิดประตูนักการเมืองที่กระทำผิดและหนีคดีจะอาศัย ให้คดีหมดอายุความเพื่อกลับเข้ามาโดยไม่ต้องรับผิด นั้นปิดสนิทลง รวมไปถึง นักการเมืองที่อาจจะหลบหนีคดีที่กำลังจะตัดสิน เพื่อไปรอเวลาให้หมดอายุความ ก็เป็นอันจบสิ้นลงด้วย
ปรากฏการณ์ ความขัดแย้งของคนในสังคมระดับศิลปินแห่งชาติ ที่ออกมาฟาดฟันกันผ่านสังคมโซเชียล สิ่งนี้สะท้อนความขัดแย้งทางความคิดที่ลึกๆ ยังไม่มีทางคลี่คลาย เพราะจุดยืนทางการเมืองคนละขั้ว ยังมิได้คลายหายไปแต่อย่างใด ความเกลียดชังของคนเหล่านี้ยังกรุ่นอยู่ รอวันจะประทุขึ้นมาอีกเมื่อไรก็ได้
เมื่อมองดู ร่างสัญญาประชาคม 10 ข้อ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นหลักการที่ดี เพราะเป็นข้อเสนอให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจ เคารพความคิดเห็นต่าง เคารพกฎหมาย เคารพการตรวจสอบ ถ่วงดุล ฯ แต่ ในความเป็นจริงใช่หรือไม่ บรรดานักการเมืองพร้อมจะแหวกหลักการ หาช่องหาทาง เพื่ออำนวยประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ให้กับเจ้านาย ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก... การยอมรับเป็นเพียงลมปาก เพราะอยากจะเดินหน้าไปสู่หนทางที่ตัวเองจะเข้ามามีอำนาจรัฐเท่านั้นเอง
ภายใต้แนวคิด ความคิดของสังคมแห่งความขัดแย้ง ที่ยังดำรงอยู่...การปรองดอง...คืออะไร หน้าตาจะเป็นอย่างไร...ยังคงต้องหาคำตอบกันต่อไป....!