“ไล่ออกเพราะรัก(ในวัยเรียน)” ท้องวัยรุ่นของเด็กหน้าห้อง
ปัญหาท้องในวัยเรียนกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสังคมไทยและมีแนวโน้มที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการไม่ป้องกันทำให้เกิดคุณแม่วัยกระเตาะมากมาย ถึงแม้ว่าคุณแม่ยังสาวเหล่านี้ยังสามารถคลอดบุตรและกลับมาเรียนได้เหมือนเดิม
โดยที่ไม่ต้องออกนอกระบบและกฎหมายยังคุ้มครองไม่สามรถไล่พวกเค้าออกไปจากโรงเรียนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุที่โรงเรียนบางโรงขอให้เด็กลาออกเองด้วยเหตุผลที่อาจไม่ใช่เพราะกลัวเสียชื่อเสียงแต่เป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วมีแง่คิดที่น่าสนใจและ
ที่สำคัญเชื่อหรือไม่ว่าเด็กนักเรียนเรียนดี หรือ เด็กหน้าห้องมีสถิติท้องสูงกว่าเด็กหลังห้อง เกิดอะไรขึ้น? ที่นี่มีคำตอบ
ทางทีมข่าว Sanook News ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ ผอ.ธีร์ ภวังคนัน ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. ที่ให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับสถิติท้องวัยเรียนของนักเรียนหน้าห้อง และภาพมุมกว้างของการจัดการกับปัญหาเด็กนักเรียนท้องจากทางโรงเรียน ซึ่งเปิดเผยว่า
โดยสถิติของศูนย์เราพบว่าเคสที่นักเรียนท้องส่วนมากจะเป็นเด็กนักเรียนหน้าห้องหรือเด็กเก่งเด็กเรียนดีมากกว่าเด็กหลังห้องเพราะเด็กหลังห้องส่วนมากจะรู้จักวิธีการป้องกันตัวเองและวิธีเอาตัวรอดจากการอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับผู้ชาย เด็กพวกนี้เค้ามีลูกล่อลูกชนไม่ใช่ว่าจะยอมกันง่ายๆ
แต่ในทางกลับกันเด็กที่พลาดแล้วท้องส่วนใหญ่คือเด็กกลุ่มหน้าห้อง เพราะเด็กเรียนดีเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าจะมีเพศสัมพันธ์ล่วงหน้า จึงไม่เคยคิดจะเตรียมตัว แต่พอเจอจังหวะที่อยู่ในสถานการณ์ถอยไม่ได้แล้วสุดท้ายก็ต้องยอม และพลาดขึ้นมาจึงเกิดการท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งถ้าไปเจอผู้ชายที่ไม่เข้าใจและไม่รับผิดชอบก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ซึ่งนาทีนี้เราต้องให้ความรู้เยอะๆ และต้องรีบให้ความรู้กับกลุ่มเด็กนักเรียนหน้าห้องก่อน ซึ่งถึงเค้าจะรู้วิธีป้องกัน แต่ก็ต้องสอนให้พวกเค้ารู้ลึกรู้จริงและที่สำคัญการเอาตัวรอดจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ด้วย
โดยเฉพาะเด็กกลุ่มนี้ที่ขาดแคลนความรักอย่างรุนแรงคือเด็กเรียนเก่งแต่ขาดความรักเช่น อยู่ในกลุ่มพ่อแม่ซิงเกิ้ลมัมหรือกลุ่มพ่อแม่ไม่มีเวลาให้จะเกิดเหตุได้ง่ายเพราะเขาขาดแคนความรักเขาอยากให้ใครสักคนมาดูแลเขา พอมีแฟนก็กลัวแฟนทิ้งก็เลยต้องยอมและส่วนใหญ่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เคยคิดจะพกถุงยาง
ด้านสติทางสาธารณสุขพบว่าสถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่คือบ้านผู้ชายหรือไม่ก็บ้านผู้หญิง โดยผู้ชายชวนไปบ้านตัวเองไม่มีใครอยู่ ส่วนผู้ชายก็ต้องให้ความรู้เชิงสอนว่าถ้าคิดจะมีเพศสัมพันธ์ก็ต้องให้เกียรติผู้หญิงถ้ารักเค้าจริงก็ควรเก็บไว้หลังเรียนจบจนมีงานทำจะดีกว่า
แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ต้องใส่ถุงยาง ส่วนผู้หญิงท้าถอยไม่ได้แล้วก็ต้องบังคับเค้าให้ใส่ถุงยางก่อน ดีกว่าท้องแบบไม่ตั้งใจเพราะมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเพราะคนที่ทุกข์คือฝ่ายหญิงที่โดนลำลายด้วยคนที่บอกว่าคุณรักนี่แหละ
หากเกิดการท้องขึ้นมาจริงๆ ขณะที่กำลังเรียนอยู่จะต้องทำอย่างไร จะโดนไล่ออกหรือไม่?
เรื่องแบบนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารและการจัดการของแต่ละโรงเรียนแต่ละเคสด้วย โดยต้องจัดการให้เงียบที่สุดและไม่เป็นประเด็นให้พูดถึง แต่ต้องไม่ให้เอาเด็กออกจากระบบการศึกษาและโรงเรียนไม่มีสิทธิ์ทิ้งเด็กออกนอกโรงเรียน ซึ่งวิธีการจัดการก็เช่น ให้เด็กสามารถไปคลอดก่อนแล้วกลับมาเรียนได้แบบไม่มีใครรู้
เพราะหากเป็นประเด็นขึ้นมาคนที่เดือดร้อนก็คือเด็กเองที่อาจจะไม่สามารถเรียนได้ โดนเพื่อนล้อ โดนนินทาจนไม่สามารถเรียนได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับประโยชน์ของเด็กเป็นที่ตั้ง หากเด็กไม่สามารถเรียนที่เดิมได้ก็ต้องหาที่เรียนให้เค้าใหม่เพื่อให้เค้าสามารถเรียนได้อย่างมีสมาธิ แต่ต้องไม่ไปทิ้งเด็กให้เผชิญชะตากรรมอยู่คนเดียว
คล้ายกับแนวคิดแบบเก่ามองว่าพอคุณไม่โสดคุณก็ไม่มีสมาธิเรียนเพราะในอดีตเป็นนี้เกือบหมดเลย คนที่ท้องส่วนมากผลการเรียนก็จะตกแบบว่าพรวดพราด เนื่องจากสมาธิก็ไม่อยู่กับการเรียน ต้องไปโฟกัสที่การดูแลลูกดูแลสามีเรียนไม่รู้เรื่อง ทางโรงเรียนจึงไม่อยากให้เรียนต่อนั่นเอง
แต่ถ้าโรงเรียนสามารถขจัดปัญหาหรือแนวคิดเดิมๆได้ แล้วให้ความสำคัญกับเด็กที่ท้องจะดีมากคือต้องทำให้เด็กนักเรียนคนนั้นรอดให้ได้ต้องถือประโยชน์สูงสุดถือว่าทำให้เด็กได้คุณภาพสูงสุด เหตุผลที่เราต้องช่วยหลายคนอาจมองว่าเป็นการสปอยล์เด็กหรือยุให้เค้าท้องก่อนวัยอันควรหรือไม่
แต่เหตุผลจริงๆที่เราไม่ทิ้งพวกเค้าเพราะถ้าหากว่าเด็กเหล่านี้มีคุณภาพต่ำลงหรือคุณภาพในการเลี้ยงดูลูกลดลงเพราะเราปล่อยให้เค้าไปเผชิญโชคเอง เช่น จบม.2ครึ่ง แล้วเค้าจะไปหางานอะไรเงินก็ไม่มีจะนำมาดูแลลูก เด็กที่เกิดมาก็จะมีคุณภาพชีวิตต่ำเวลาโตขึ้นมาก็กลายเป็นประชากรที่ไม่มีคุณภาพที่ต้องช่วยเหลืออยู่ตลอด
ทีนี้กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมก็ทรุดลงไปเรื่อยๆ วงจรมันก็จะเป็นแบบนี้ ถ้ามองเห็นมันเป็นภาพใหญ่ที่เราจะต้องช่วยกัน ดังนั้นระบบการศึกษาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วย แต่ว่าจะให้ระบบการศึกษาช่วยฝ่ายเดียวมันก็ไม่ใช่ ต้องให้เด็กเห็นหนทางว่ามีผลกระทบอย่างไรกับการเป็นคุณแม่ยังสาว
แต่เมื่อเค้าพลาดแล้วก็ต้องสอนเขาว่าจะต้องดูแลลูกอย่างไร ต้องรีบให้การศึกษาเขาเพื่อให้เขามีอาชีพไม่มีปัญหาเรื่องรายได้เค้าต้องมีวุติในการนำไปใช้เพราะฉะนั้นกระบวนการต่อไปก็ต้องดูแลเขาอย่าไปโยนเค้าทิ้งโดยที่ไม่สนใจเหลียวแลนั่นคือหลักการการดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นการบูรณาการและทำงานร่วมกัน
ส่วนในกรณีของเด็ก ม.5 อายุ 17 หมั้นกับผู้ชายอายุ 27 ปี แล้วโดนให้ออกและห้ามคบกันนั้น
ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ต้องฟังความทั้งสองฝ่าย แต่หากมองในมุมของ ผอ.โรงเรียนที่ต้องการให้เด็กลาออกนั้น ทางโรงเรียนอาจมองเห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะสมัยก่อนมีข้อปฏิบัติว่าเป็นนักเรียนต้องอยู่ในสถานะโสดและอาจส่งผลกระทบต่อส่วนรวมด้วย
เช่น เรื่องหมั้นแล้วไปอยู่บ้านผู้ชายอาจกลายเป็นประเด็นที่พูดถึงในโรงเรียนหนาหูและเป็นประเด็นล้อเลียน ติฉินนินทา ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้เด็กในโรงเรียนทั้งหลายไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือและอาจส่งผลกระทบด้านจิตใจต่อเด็กอายุ 17 ได้ หรือหากต้องการย้ายเด็กไปเรียนที่อื่น
ก็ต้องปรึกษากับทางครอบครัวและถามความสมัครใจเด็กก่อนไม่ใช่จับเขาโยนไป และไล่ออกไปเฉยๆแบบนี้ไม่ได้ไม่ควรทำ ต้องคุยกันว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อตัวเด็กเน้นที่ตัวเด็กเป็นหลักสมมุติว่าอยู่ในโรงเรียนเหมือนเดิมเพื่อนแซวทุกวัน ถามว่าเรียนหนังสือรู้เรื่องไหม
ถ้าไม่รู้เรื่องควรขยับหรือย้ายโรงเรียนไหมประมาณนี้ เพราะว่าเด็กนักเรียนคือลูกศิษย์เรานี่คือหลักการของผมที่ควรมองในภาพรวมมองว่าประโยชน์สูงสุดของเด็กอยู่ที่ไหน
และหากมองในมุมโรงเรียนในการห้ามคบกันนั้น ส่วนตัวคิดว่าโรงเรียนต้องการที่จะกำกับดูแลตัดไฟตั้งแต่ต้นลมมากกว่า
เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่กลัวการเอาแบบอย่าง หรือ ลัทธิเลียนแบบ ยิ่งมีการพูดถึงเรื่องหมั้นกันกลายเป็นข่าวครึกโครมนักเรียนต่างพูดถึงและคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ก็อาจจะเกิดการมีแฟนกันทั้งโรงเรียนซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายและโรงเรียนไม่สามารถที่จะควบคุมได้
ประเด็นนี้มันจะมีอะไรตามมาอีกมากมายที่เราคาดไม่ถึงก็คือประเดี๋ยวก็จะมีเรื่องผู้ชายมาหาผู้หญิงในโรงเรียนหรือเกิดการแย่งผู้หญิงคนนี้หรือว่ามาดักฟันการทะเลาะวิวาทกันทะเลาะตบตีกันทำให้ทางโรงเรียนบริหารจัดการได้ยากนั่นคือประเด็นที่โรงเรียนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนเขากังวลกัน
จึงต้องใช้วิธีการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมและถ้าใครแปลกหน้าเข้ามาโรงเรียนก็จะสามารถจัดการได้เลยเพราะถือว่าคุณบุกรุก แต่ถ้าปล่อยให้อยู่กันแบบคู่รักในโรงเรียนหรือให้คบกันแบบเปิดเผยก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ปัญหาตามมาได้ เช่น หึงหวงชู้สาวเกิดทะเลาะวิวาทในโรงเรียน มาดักฟันกันหน้าโรงเรียน
ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้ก็อาจจะเกิดการคุ้มกันยากขึ้น ทั้งที่แต่เดิมนั้นมีแค่ภารโรงคุมประตูเพียงแค่คนเดียวก็จบ นี่คือเหตุผลคือต้องเข้าใจฝ่ายโรงเรียนด้วยเพราะว่าสิ่งแบบนี้ทางโรงเรียนไม่อยากให้เกิดขึ้น มันอาจจะบานปลายไปเรื่อยๆ
ปัญหานี้ต่างคนก็ควรเข้าใจกันต้องหาข้อตกลงร่วมกันคือบางทีเรามองเพียงมุมเดียวหรือด้านเดียว ก็อาจทำให้มองไม่เห็นภาพรวมภาพใหญ่หรือฝั่งของทางโรงเรียนว่าสิ่งที่ต้องกังวลคืออะไร แต่หัวใจหลักที่แท้จริงก็คือนักเรียน
ซึ่งหากนักเรียนมีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องใด ท้องวัยเรียนหรือปัญหาชีวิต หรือปัญหาอื่นๆ สามารถโทรมาปรึกษาเราได้ที่ ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 02-2885599 เรายินดีให้คำปรึกษาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
สุดท้ายนี้อยากฝากเตือนนักเรียนหญิงทุกคนว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามและเป็นสิ่งที่ควรจะมีได้ทุกคนเพราะความรักจะช่วยให้มีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไป แต่อยากให้แยกให้ออกว่าระหว่างความรักกับความรู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์หรือความใคร่ คืออะไร
เพราะเมื่อพลาดพลั้งไปแล้วจะใช้ชีวิตที่ลำบากขึ้น แต่ถ้าคิดจะมีจะทำอะไรก็ขอให้รอบคอบ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เสียโอกาสในระบบการศึกษา แต่คุณอาจจะเสียโอกาสเรื่องอื่นในชีวิต ท่าจะให้ดีเรียนจบปริญญาตรีก่อนดีไหม
แล้วถามตัวเองว่าคุณรักใครระหว่างรักเขา หรือเราตัวเราที่หมายถึงครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง เก็บความรักไว้ในจังหวะที่เหมาะสมดีกว่ามานั่งเสียใจในภายหลัง ผอ.ธีร์ ภวังคนัน กล่าวทิ้งท้าย