เพราะคิดถึง วาเนสซ่า บีเวอร์ นางเอกดังยุค 90's บทบาทชีวิตคุณแม่ลูก 2
ในยุคที่บรรดาศิลปินยุค 90's ต่างก็ทยอยกันสร้างครอบครัว บ้างก็เลือกที่จะหันหลังให้กับวงการมายาเพราะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ใจจุดที่อิ่มตัวแล้ว จึงอยากจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวแบบเรียบง่าย ขณะบางคนถึงแม้จะมีครอบครัวแล้ว แต่ก็เลือกที่จะเปลี่ยนสถานะตัวเองจากคนเบื้องหน้า เพื่อกลายมาเป็นคนเบื้องหลังแบบเต็มตัว โดยหวังจะใช้ประสบการณ์ความรู้จากการทำงาน มาช่วยพัฒนาวงการบันเทิงไทยให้มีมารตราฐานมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับ "วาเนสซ่า สีมานะชัยสิทธิ" หรือชื่อในวงการ "วาเนสซ่า บีเวอร์" สาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่ในอดีตเธอเคยเป็นทั้ง นักร้อง นักแสดง และนางแบบ มีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักอย่างเพลง "บอกลาเพื่อนเก่า" และ "สิงห์อมควัน" จากอัลบั้ม Vanessa เมื่อปี 2536 รวมถึงผลงานการแสดงในละครชื่อดังหลายอีกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ปะการังสีดำ", "บ้านสีขาวกับดาวดวงเดิม" และอีกมากมาย
ซึ่งปัจจุบันนี้ วาเนสซ่า บีเวอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดละคร ช่วยพี่ชาย "โอริเวอร์ บีเวอร์" ผลิตละครให้กับช่อง7 และเปิดบริษัทร่วมกับสามี "ตี้ กฤษณัฏฐ์" อีกทั้งยังเป็นแม่ของลูกชายวัยกำลังซนถึง 2 คน "น้องวินเธอร์" และ "น้องสกาย"
ล่าสุดทีมข่าว Sanook! News ได้มีโอกาสเจอกับสาววาเนสซ่าก็เลยต้องขอชวนเธอมานั่งพูดคุยกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้หายคิดถึง ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงจากคนเบื้องหน้าสู่คนเบื้องหลัง รวมถึงบทบาทใหม่ในชีวิตจริงของหัวอกคนเป็น "แม่" เพื่อต้อนรับบรรยากาศสุดอบอุ่นในเดือนสิงหาคมนี้..
"ตอนนี้ก็ทำงานเบื้องหลังอยู่กับพี่ชาย (โอริเวอร์ บีเวอร์) มีเบื้องหน้าบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่เหตุผลจริงๆ ที่หายหน้าหายตาไปนานเลยก็คือ ก่อนหน้านี้พี่ไปมีครอบครัวและก็มีลูก 2 คน ซึ่งพอเรามีลูกรูปร่างเราก็เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดา บวกกับพี่ต้องใช้เวลาตรงนั้นเอาไปดูแลครอบครัวและลูกด้วย พี่ก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกงานสักเท่าไหร่ (ยิ้ม) แต่ถ้าถามว่าพี่หายหน้าหายตาจากวงการเลยไหม เอ่อ...จริงๆ ก็อย่างที่พี่บอกคือมีโผล่ในละครบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะ ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อนเพราะพี่เน้นงานเบื้องหลังมากกว่า"
"แต่เอาตรงๆ เมื่อก่อนพี่ก็เคยทำหลายอย่างนะ ไม่ว่าจะเป็นงานร้องเพลงหรืองานแสดง คือยอมรับเลยว่าช่วงที่หายไปก็คิดถึงงานในวงการบันเทิง และวันนี้พี่เองก็ตื่นเต้นมากที่ได้มาออกงานมาเจอกับบรรยากาศเก่าๆ อีกครั้ง เพราะมันนานมากแล้วจริงๆ ถ้านับจากครั้งสุดท้ายที่พี่ได้มีโอกาสร่วมเดินพรมแดง (ยิ้ม)"
ชีวิตครอบครัวลงล็อค ยอมรับตัวเองเป็นคุณแม่ติดลูก
"ชีวิตครอบครัวของพี่ตอนนี้โอเคมากค่ะ ลูกชายคนเล็กอายุ 1 ขวบกับ 8 เดือนแล้ว ลูกชายส่วนคนโตเขาก็ 8 ขวบค่ะ (ยิ้ม) ซนมาก ซนจริงๆ เพราะเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่เนอะ และยิ่งช่วงนี้คนเล็กเขาเริ่มจะพูดได้ เขาก็เหมือนกับติดนิสัยแม่อ่ะ คือเขาจะพูดไม่หยุด พูดเก่งมาก แถมบางครั้งยังงอนพี่บ่นพี่ จนกลายเป็นว่าพี่น้องเขาเถียงกัน แต่เถียงไม่รู้นะ (หัวเราะ) ก็เป็นที่น้องที่รักกันดีค่ะ แม้จะมีเถียงกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องปกติ"
"พี่ติดลูกมาก ติดมากๆ ติดยิ่งกว่าลูกติดเราซะอีกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายคนโต คือพอเขาโตเขาเริ่มมีความเป็นหนุ่มเขาก็จะค่อยๆ ถอยห่างจากเรา เขาจะเริ่มมีความมั่นใจเป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาเขาเลิกเรียนเสร็จกลับบ้านเขาจะโทรหาพี่ตลอดนะ โทรถามว่า "แม่จะกลับบ้านหรือยัง", "แม่กลับบ้านได้แล้วนะ" แต่ว่าช่วงหลังๆ มานี้ พี่เองจะเป็นฝ่ายที่โทรหาเขา "ถึงบ้านหรือยังลูก", "ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง" คือจะไม่ค่อยมีแล้วที่เขาเป็นฝ่ายเล่า แต่จะเป็นเราเองมากกว่าที่ต้องถามเขาก่อน พี่ติดลูกมากค่ะ"
"พี่บอกตรงๆ นะ พี่เองก็กังวลเหมือนกันเพราะอีกไม่กี่ปีเขาก็จะเข้าสู่ช่วงของวัยรุ่นแล้ว และตัวพี่เองก็เป็นคุณแม่ที่ค่อนข้างดุ ซึ่งเราไม่อยากดุลูกหรอกเพราะพี่สงสารเขา อย่างช่วงหลังๆ มานี้พอพี่ดุเขาก่อนไปโรงเรียนแล้วเขาร้องไห้ เขาก็จะถามตลอดว่า "เขาดูเหมือนคนร้องไห้ไหม", "เขามีน้ำตาไหม", "มีขี้ตาไหม" คือเหมือนเขาอายถ้าเพื่อนเห็น ซึ่งเขาก็คงจะใกล้เป็นหนุ่มแล้ว (ยิ้ม) แต่พี่ก็จะพยายามใกล้ชิดเขาให้มากที่สุดเท่าที่พี่ทำได้นะ พี่จะมีเวลาให้เขาให้มากที่สุด เพราะพี่เชื่อว่าเมื่อเด็กเขาโตขึ้นและเขาเป็นเด็กผู้ชายเขาก็คงจะต้องมีแฟนมีความเป็นส่วนตัวของเขา แต่พี่ก็อยากให้เขาให้ความรักพี่ด้วย คือเขามีแฟนได้นะแค่ผู้หญิงที่เขาต้องรักมากที่สุดต้องเป็นคุณแม่ (หัวเราะ)"
โมเม้นต์สุดซึ้งจากลูกชายทั้งสอง แค่ลูกเดินเข้ามากอดหัวใจคนเป็นแม่ก็มีความสุขที่สุดแล้ว
"ทุกวันสำคัญไม่ว่าจะเป็นวันแม่หรือวันเกิดของเขา เขาจะนำดอกไม้ดอกมะลิมากราบพี่และก็กราบเท้าคุณยายตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เราปลูกฝังให้เขาตั้งแต่เขายังตัวเล็กๆ เพราะพี่อยากให้เขานึกถึงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเกิด คือวันที่เขาเกิดเป็นวันที่แม่เจ็บที่สุดเพื่อที่จะให้เขาได้เกิดมา ซึ่งมันเป็นการบอกให้เขารู้ว่า "เขาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา และเราเองก็มีค่าสำหรับเขาที่ทำให้เขาได้เกิดมา" (ยิ้ม) ทุกครั้งที่ลูกทำอะไรแบบนี้ให้หัวใจเรามันพองโตเลยนะ คือไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องเป็นวันพิเศษหรือวันสำคัญอะไร เพราะแค่เขาเดินเข้ามาหาเราในวันธรรมดาๆ เพื่อที่จะกอดเราหอมเรา หัวใจเราก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ"
"ลูกชายคนเล็กมีแววเข้าวงการมากค่ะ เพราะเขาเหมือนกับพี่มาก ส่วนลูกชายคนโตเขาจะนิสัยเหมือนคุณพ่อ คือเงียบๆ ขี้เก๊ก แต่สำหรับคนเล็กนี่เขาช่างจ้อช่างเจรจามาก หรือแม้กระทั่งเวลาที่พี่ดุเขา เขาก็จะมีลูกอ้อนให้พี่ใจอ่อนโดยการเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วเอาหน้ามาถูมากอด คืออ้อนเก่งมากค่ะ (ยิ้ม) ถามว่าพี่พร้อมสนับสนุนให้เขาสองคนเขาวงการไหมถ้าหากเขาสนใจ แน่นอนค่ะให้เล่นเป็นพระเอกละครของพี่โอลิเวอร์ไปเลย เพราะรายนั้นเขาเป็นผู้จัดละครอยู่ แต่จริงๆ พี่ก็เคยลองพาเขาไปเดินแบบบ้างเหมือนกันนะ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาชอบหรือเปล่านะ เพราะคนโตอย่างที่บอกคือเขาก็เงียบๆ ส่วนคนเล็กเขาก็ยังเด็กมาก (ยิ้ม)"
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ