ไขปริศนา! มหากาพย์บิ๊กไบค์ VS ลุงอาจารย์ ป้องกันตัวหรือพยายามฆ่า

ส่อแววจะกลายเป็นหนังคนละม้วนจากกรณีหนุ่มบิ๊กไบค์ถูกอาจารย์มหาวิทยาลัยดังขับเก๋งฮอนด้าซิตี้ไล่ชนท้ายเนื่องจากคิดว่าโดนเบิ้ลเครื่องใส่ และถูกคู่กรณีใช้มีดพับแทงได้รับบาดเจ็บ จึงแจ้งข้อหาพยายามฆ่า โดยมีภาพจากกล้องบิ๊กไบค์เป็นหลักฐานพร้อมยืนยันว่าถูกทำร้ายร่างกายก่อน

แต่หลังจากนั้นได้มีการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดอีกมุมหนึ่งพบว่าบิ๊กไบค์บิ๊กไบค์ได้ต่อยลุงอาจารย์จนล้มก่อนชักมีดแทงป้องกันตัวกลายเป็นหลักฐานที่นำมาหักล้างกล้องหน้ารถของหนุ่มบิ๊กไบค์ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า

“ผมถูกกล่าวหาว่าลงจากรถแล้วไปแทงเค้าก่อนก็เลยต้องป้องกันตัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ ผมก็เลยเอาคลิปมาเผยแพร่เพื่อให้เห็นความจริงว่าผมถูกทำร้ายก่อนจนถึงนาทีสุดท้ายจำเป็นต้องป้องกันตัวไม่งั้นตัวผมเองก็คงต้องแย่ไปมากกว่านี้”

นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่าถ้าดูตำแหน่งที่โดนแทงจริงๆ คือมือขวาตำแหน่งที่แทงน่าจะอยู่ด้านบน แต่จริงๆแล้วเป็นมือซ้ายที่แทงหลังจากโดนต่อยก่อนแล้วก็เลยถูกแทงเข้าที่ปอด เพราะฉะนั้นแล้วตำแหน่งที่ถูกมือขวาน่าจะเป็นฝั่งขวาด้านบน แต่ตำแหน่งโดนแทงกลับเป็นปอดอีกด้านหนึ่ง

คราวนี้ลองมาฟังด้านฝั่งคนขับบิ๊กไบค์กันบ้างหลังจากที่ได้เห็นคลิปภาพอีกมุมหนึ่งจะความคิดเห็นอย่างไร “ต่อให้เขาบอกว่าผมต่อยเขาก่อน ผมถามว่ามือขวาของเขาถึงตัวผมก่อนไหม เขาพยายามทำร้ายผมและผมรู้สึกว่าเขาจะพยายามทำร้าย เมื่อเขาลงมาอยู่ข้างรถอาการผมก็ดาวน์แล้วเพราะผมเห็นเขาแก่

แต่ปัญหาคือมือขวาเขายังมาถึงตัวผมอีก ผมถามว่ามีใครไหมครับที่จะยอมให้อยู่ดีๆ มีอะไรมากระแทกตัวใครๆก็คิดว่าทำร้ายถูกต้องไหมครับ ผมให้สัมภาษณ์แบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วครับ ผมมีหลักฐานมากกว่านี้อีก จุดประสงค์ผมต้องการให้จบให้เด็ดขาดภายในศาลเดียวก็คือจบเลย”

นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่าคลิปดังกล่าวได้เคยเห็นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ ซึ่งขณะที่เค้าลงรถเห็นมือซ้ายจ้วงแทงแล้วจึงป้องกันตัวด้วยการเอามือเข้าแย่งมีด เพื่อปลดอาวุธเฉยๆ ไม่ได้อยากจะทำร้ายต่อ เพราะหากมีเจตนาทำร้ายก็สามารถกระทืบต่อได้สบาย

และยังมีข้อมูลอีกว่าเคยมีผู้เสียหายหลายรายมีเรื่องกับอดีตอาจารย์รายนี้ ซึ่งจะมีการรวบรวมหลักฐานฟ้องร้อง เพื่อชี้ให้เห็นว่าอาจารย์รายนี้มีพฤติกรรมเช่นไร

ทีนี้ลองมาฟังความคิดเห็นทางฝั่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกันบ้างว่าเหตุการณ์นี้น่าจะจบลงเช่นไร จะเป็นการป้องกันตัวหรือพยายามฆ่าตามที่กล่าวหาหรือไม่..?

ทาง Sanook! News จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ทนายวรวัฒน์ บุญฤทธิ์ ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีนี่ว่า การป้องกันตัวตามกฎหมายคือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ฝ่ายหนึ่งฝ่ายนั้นจะอ้างว่าจำเป็นป้องกันบันดาลโทสะไม่ได้ และถ้าทั้งสองฝั่งสมัครใจเข้าทะเลาวิวาทต่อกันก็ไม่สามารถอ้างว่าเป็นเหตุป้องกันตัวได้ทั้งสองฝ่าย

ส่วนสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายต่างหาหลักฐานเพื่อมาพิสูจน์กันว่าฝ่ายใดเริ่มก่อนนั้นคือหลักการป้องกันตัวที่อ้างว่าตนเองไม่มีส่วนเริ่มต้นให้เกิดการกระทำผิด พูดง่ายๆคือคุณมาทำผมก่อนผมจึงต้องป้องกันตัวนั่นเอง

ซึ่งจากประสบการณ์แล้วมองว่าคดีป้องกันตัวนั้นส่วนมากศาลจะพิจารณาเหตุการณ์ที่ต้องตรงล็อคเข้าข้อกฎหมายเกือบ 100% ถึงจะเข้าข่ายป้องกันตัว เพราะการป้องกันตัวถือว่าคุณไม่มีความผิดเลย ฉะนั้นแล้วศาลจึงต้องพิจารณาโดยละเอียด ขนาดตำรวจจะยิงโจรก็ต้องให้โจรเล็งปืนมาก่อนจึงจะสามารถป้องกันตัวได้นั่นคือข้อเท็จจริง

หากมองที่ลุงวิศวะจะเข้าข่ายป้องกันตัวต้องมองว่าคนขับบิ๊กไบค์เข้ามาเปิดประตูและเป็นภัยคุกคามโดยเข้ามาทำร้ายร่างกายก่อนซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจากการที่ลุงขับรถยนต์ชนท้ายบิ๊กไบค์แล้วทำให้เค้าเกิดบันดาลโทสะจึงเข้ามาหาเรื่อง ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายป้องกันตัว

ผมมองว่าคดีนี้น่าจะเข้าข่ายต่างฝ่ายต่างสมัครใจทะเลาะวิวาทกัน เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็มีเรื่องกันมาก่อนตั้งแต่อยู่บนถนนแล้ว ก่อนที่จะจอดรถเคลียร์กันและต่างฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันก่อนที่จะมีการทำร้ายร่างกายกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันไม่ใช่เหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ส่วนด้านคนแทงอาจจะต้องรับผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเพิ่มอีกด้วย

ด้านกรณีเรื่องทำร้ายเกินกว่าเหตุถึงขั้นเป็นข้อหาพยายามฆ่าหรือไม่นั้น ต้องมองดูที่อาวุธด้วยว่าสามารถทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิตหรือไม่ หรือแค่ทำร้ายร่างกาย และลักษณะการแทงคือแทงกี่ครั้งแทงเข้าจุดสำคัญหรือไม่ ทั้งนี้ต้องดูที่เจตนาด้วยว่าตอนแทงกะเอาให้ตายหรือแค่ทำร้ายร่างกาย ให้วิเคราะห์จากจากอาวุธ ลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์การการทำร้ายเป็นหลักด้วย

ถ้ากรณีคนถือมีดพกแทงเข้าไปที่ตัวและตามไปซ้ำ โดยแทงเข้าที่จุดสำคัญ เช่น ลำคอ อาจทำให้ถึงชีวิต ลักษณะเช่นนี้ถือว่าเข้าข่ายพยายามฆ่าได้

ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากจะฝากเตือนสติทั้งสองท่านให้หันหน้ามาคุยกันและปรับความเข้าใจกันดีกว่า อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะสุดท้ายแล้วชัยชนะที่ได้กลับมาอาจไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป  ทนายวรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

คดีนี้ต้องยอมรับว่าต่างฝ่ายต่างก็มีหลักฐานเด็ดที่พร้อมจะปล่อยหมัดน็อคคู่ต่อสู้และคงไม่ยอมกันแบบง่ายๆ เรื่องราวทั้งหมดคงต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมของศาลเป็นผู้ตัดสิน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมคือ อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะถ้ารู้จักระงับอารมณ์ได้ทั้งสองฝ่าย เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดคงจะจบลงด้วยดีท่ามกลางรอยยิ้มของคนไทย