Market Talks - บล.เอเซีย พลัส

Market Talks - บล.เอเซีย พลัส

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลยุทธ์การลงทุน           แม้จะเห็นหุ้นน้ำมันฟื้นตัวในวันนี้ แต่คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัว กลยุทธ์ของนักลงทุนระยะกลาง-ยาวยังแนะนำสะสมหุ้น 3 กลุ่มหลักคือ 1) PER ต่ำ 10 เท่า และเงินปันผลสูงกว่า 5%: ASK, TMT, BCP, TVO, TPC, UPOIC 2) PER ต่ำ 11 เท่า และ EPS เกิน 10%: CPF, GFPT, PTTCH และ 3) หุ้น Low Beta คือ BH, ADVANC, MAJOR, BECL และ Top picks ของหุ้นวันนี้ แนะนำ TPC, BCP แพราะเป็นหุ้นที่จะถูกคัดเข้า SET50 และ MCS จะถูกคัดเข้า SET100 โดยตลาดฯ จะประกาศ 16 มิ.ย. นี้                     SET Index             1,073.83 เปลี่ยนแปลง (จุด)           -2.67 มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท)   31,145.32   ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท) นักลงทุนต่างชาติ         -1,535.96 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์        1,931.13 นักลงทุนสถาบันในประเทศ    -294.47 นักลงทุนรายย่อย           -100.70   ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวช่วงสั้นตามราคาน้ำมันดิบโลก หลังเกิดน้ำมันรั่วไหลในแคนาดา           ราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัวอีกครั้ง โดยขึ้นมายืนที่ 110 จุดอีกครั้งหลังจากเคลื่อนไหวในกรอบ 108-110 เหรียญฯต่อบาร์เรลในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความกังวลต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโลกจะหดหาย หลังจากการรั่วไหลของท่อส่งออกน้ำมันดิบคีย์สโตน์ (จากรัฐแอลเบอร์ทา ของแคนา มาสิ้นสุดที่เมือง คุชชิง ในรัฐโอกลาโฮมา) ของบริษัททรานส์แคนาดา คอร์ป ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้มีการปิดท่อส่งออกน้ำมันเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน โดยหากปัญหาดังกล่าวยังยืดเยื้อ คาดว่าจะกระทบกำลังการผลิตน้ำมันดิบ และการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปของโลก เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันของดังกล่าวอยู่ที่วันละ 5.91 แสนบาร์เรล หรือคิดเป็น 4% ของกำลังการผลิตในทวีปอเมริกาเหนือ (ราว 24 ล้านบาร์เรลต่อวัน) นอกจากนี้ตลาดเริ่มผิดหวังกับการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะกำลังซื้อ และตัวเลขการจ้างงานในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าคาด หนุนให้ Dollar Index อ่อนค่าลงมาต่ำกว่า 75 จุดอีกครั้ง และหนุนให้ค่าเงินยูโร เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ฟื้นตัวขึ้นมายืนเหนือ 1.44 จุด รวดเร็วกว่าคาด โดยสรุปปัจจัยเหล่านี้จะหนุนให้ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวในช่วงสั้น ๆ และจะหนุนให้ความสนใจต่อการลงทุนในหุ้นที่อิงน้ำมันมีโอกาสฟื้นตัวตาม  โดยเฉพาะ PTT(FV@B312),  PTTEP(FV@B174) เป็นต้น   แนะซื้อหุ้นเด่นที่ถูกคัดเข้า SET50 คือ TPC, BCP และเข้า SET100 คือ MCS           ฝ่ายวิจัยได้คำนวณหุ้นที่คาดว่าจะเข้า/ออก SET50-SET100 ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ที่จะมีผลบังคับใช้ในงวด 2H54 คือตั้งแต่ 1 ก.ค. 2554 (แต่ตลาดจะประกาศล่วงหน้าในวันที่ 16 มิ.ย. 2554) สรุปได้ดังนี้ 1) SET50 หุ้นที่จะถูกคัดเลือกเข้าในครั้งนี้มี 2 บริษัท คือ BCP, TPC  โดยจะเข้ามาแทนที่ DCC, KK ที่จะถูกคัดออก และ 2) SET100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้ามามี 5 บริษัทคือ PTL, AJ, SC, SF, MCS โดยจะเข้ามาแทน KYE, ROJNA, TSTH, CCET, PDI ที่น่าจะถูกคัดออก โดยจากการศึกษาสถิติในอดีตพบว่าการเคลื่อนไหวของหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า/ออก SET50 และ SET100 สามารถกำหนดเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีทางหนึ่ง โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า SET50 คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 7.3% เมื่อซื้อก่อนที่จะมีการนำเข้าไปคำนวณประมาณ 1 เดือน (หมายความต้องซื้อในช่วงนี้) ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 96% ขณะที่หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า SET100 จะให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าคือเพียง 2.6% และควรจะซื้อล่วงหน้าเพียง 2-4 สัปดาห์ ก่อนที่จะถูกนำไปคำนวณ (หรือช่วงที่ตลาดประกาศนั่นเอง) ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% ซึ่งสวนทางกับหุ้นที่ถูกคัดออก พบว่ามักจะปรับตัวลงล่วงหน้าเฉลี่ยราว 4% ในช่วงเดียวกัน สำหรับหุ้นที่คัดออกจาก SET50 และทรงตัวหรือ Underperform สำหรับหุ้นที่ถูกคัดออกจาก SET100 อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาข้อมูลพื้นฐาน กล่าวคือแนวโน้มธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตของกำไร รวมถึงมูลค่ากิจการ ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้น Top picks สำหรับกลยุทธ์ SET50-SET100 Plays ดังนี้คือ TPC(FV@B32.64), BCP(FV@B23.76) และ  MCS(FV@B12.56)   แรงขายชะลอตัวลงตามคาด Fund Flow และเชื่อว่าจะเห็นภาพนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง           จากการรายงาน 5 ประเทศ โดย Bloomberg พบว่า วานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดภูมิภาครวมกันกว่า 898.08 ล้านเหรียญฯ โดยเป็นการซื้อสุทธิ 3 ใน 5 ตลาด  กล่าวคือ มีแรงซื้อหลักมาจากตลาดเกาหลีใต้ และ ตลาดไต้หวัน โดยมียอดซื้อสุทธิ 468.46 ล้านเหรียญฯ และ 458.48 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ  ถือว่าเป็นการกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง หลังจากที่มีการขายสุทธิในวันก่อนหน้า ตามด้วย ตลาดอินโดนีเซียที่มียอดซื้อสุทธิ 27.82 ล้านเหรียญฯ เป็นการซื้อติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มียอดขายสุทธิราว 7.38 ล้านเหรียญฯ เป็นการขายสุทธิสลับอีกครั้งหลังจากมีการซื้อในช่วง 2 วันก่อนหน้า สำหรับตลาดหุ้นไทยพบว่ามียอดขายสุทธิสูงที่สุดกว่า 50.68 ล้านเหรียญ และ เป็นการขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 2   ฝ่ายวิจัยเชื่อว่านับจากนี้จนถึงกลางเดือนมิ.ย. เชื่อว่า Fund Flow  ยังคงมีไหลออกต่อเนื่อง แต่น่าจะลดน้อยถอยลง หรือ มีการกลับมาสลับซื้อในบางวัน ซึ่งจะทำให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดจะเบาบางลง หรือ เฉลี่ยต่อวันไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท  ตรงกันข้ามกับตลาดตราสารหนี้ไทยพบว่า วานนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 7,637.72 ล้านบาท เป็นยอดซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 16 วัน  คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของความหวังต่อทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. อีก 0.25% สู่ 3% ที่จะมีการประชุมในวันนี้     นักวิเคราะห์:  ภรณี ทองเย็น, CISA  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146             เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132             กรภัทร วรเชษฐ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์              โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2554

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook