เปิดใจ “แม่น้องพลอย” ตามหาลูก 3 ปี กับกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า
เป็นเวลานานกว่า 3 ปี ที่ “น้องพลอย” พลอยนรินทร์ หายตัวไป จนทำให้ผู้เป็นแม่ออกตามหาลูกสาวทุกวิถีทาง เพื่อหวังว่าจะพบหน้าลูกสาวอีกครั้ง หลังจากถูก “พลกฤต” อดีตทหารลักพาตัวไปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 57 ก่อนที่น้องพลอยจะหายไปได้คบหากับอดีตทหารรายนี้และปฏิเสธจะคบต่อเมื่อทราบว่าเขามีครอบครัวแล้ว ความพยายามตามหาความจริงของผู้เป็นแม่เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา แม่ของน้องพลอยได้ส่งจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
"พัชรี” แม่ของน้องพลอย ได้เปิดเผยในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าว หลังจากตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้ ว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมีความหวังว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าเมื่อวานก่อนที่จะทราบข่าวก็ยังมีความหวัง รวมทั้งมีความหวังกับกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เดินทางเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกสาวกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล มูลนิธิปวีณา ศูนย์ดำรงธรรม ตามสื่อต่างๆ ทางเฟซบุ๊ก หรือเบอร์ร้องเรียนต่างๆ ลองทำมาหมดทุกวิถีทางแต่ก็ไม่ได้ความชัดเจน
ขณะที่ตัวเองได้มีการจดบันทึกไว้ในสมุดเกี่ยวกับการหายตัวไปของลูกสาวทุกอย่าง ตั้งแต่ติดต่อลูกสาวไม่ได้ จนไปแจ้งความ ไปติดต่อค่ายมือถือ ตอนนั้นตำรวจที่รับแจ้งบอกว่า เดี๋ยวน้องก็กลับมา หนีไปกับแฟนหรือเปล่า ไม่ได้ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็พาหลานมาให้ ตอนนั้นแม่มั่นใจว่าลูกสาวไม่ใช่คนเหลวไหล ปกติลูกสาวไม่ใช่คนที่ตัดสายโทรศัพท์ หรือไม่อ่านไลน์ ซึ่งมันผิดปกติ รวมทั้งเห็นข้อความไลน์ขู่จะทำร้ายตอนเดือนเมษายนแล้วบอกว่าตำรวจไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก ตอนนั้นไปแจ้งความตำรวจรวมทั้งบอกแกะรอยการขายรถของคนร้าย ที่นำไปขายที่เต็นท์รถ ก่อนที่พ่อที่เขาเป็นทหารจะมาเอารถกลับคืนไป ตอนนั้นตำรวจบอกให้รอก่อน พอ 6 เดือนไปแล้วมันเงียบจนอยู่ไม่ได้ ระหว่างนั้นก็แม่ก็ตาม รวมทั้งบุกไปหาพ่อของผู้ต้องหา
“ตอนนั้นตำรวจบอกตามอยู่ๆ ยอมรับเราผิดหวัง แต่เราไม่ท้อ เราก็ยังหวังพึ่งตำรวจอยู่ เราเป็นประชาชนเราก็ต้องพึ่งตำรวจ หรือไปร้องเรียนกับทหาร แต่ละวันก็ไปหลายที่ ระหว่างที่ตามหาเราก็ไลน์ไปหาน้องทุกวัน คิดแค่ว่าน้องขาดอิสระ ตอนนั้นมีคำถามอยู่ 3 ข้อคือ ถ้าน้องสบายดีน้องต้องกลับมา ถ้าน้องโดนกักขังเมื่อไหร่จะได้รับอิสระ และถ้าน้องเสียชีวิตใครจะรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่แม่ถามตำรวจ และก็กลายมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้วบอกกับแม่ว่าเสียใจด้วยนะ ชีวิตคนทั้งชีวิต ถ้าเขาช่วยตามให้แม่น้องอาจจะไม่เสียชีวิต หากถามว่าผิดหวังกับอะไรมากที่สุดคงเป็นตัวเองที่คาดหวังว่าลูกจะยังมีชีวิต และผิดหวังกับตำรวจในช่วงแรกๆ ที่เขาพูดจาดูถูกไม่ให้เกียรติเรา และสุดท้ายอยากให้คนทำผิดมารับผิดชอบสิ่งที่เขาทำ ความรู้สึกของแม่ตอนนี้คือน้องยังอยู่กับแม่ และอยู่ในใจแม่เสมอ" แม่น้องพลอย กล่าวทั้งน้ำตา
ขณะที่ รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม บอกว่า ตอนแรกไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการตรวจสอบ ก่อนไปตรวจสอบกับตำรวจที่ สภ.ท่าเรือพบว่า สำนวนคดีนี้ไม่มีเจ้าของมานานแล้ว และถูกเก็บอยู่ในห้องสำนวนต้องรอตำรวจที่มีกุญแจมาเปิดให้ เพราะคนก่อนย้ายไปแล้ว กว่าจะได้ดูสำนวนก็ใช้เวลานาน และเข้าใจหัวอกคุณแม่เลยว่า 3 ปีที่ผ่านมาทำไมถึงไม่คืบหน้า และวันนั้นก็ได้ทราบจากตำรวจว่า “มันตัน” แต่เขาไม่ได้บอกว่าตันเพราะสืบต่อไม่ได้ หรือเพราะเจอตอ ตนก็ข้องใจว่าทำไมถึงไม่ยอมบอกคุณแม่น้องพลอยไปตรงๆ ตอนนั้นเป็นขั้นตอนออกหมายจับแล้ว แต่ไม่สามารถติดตามตัวคนร้ายได้ โดยที่คุณแม่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาตลอด 3 ปี หากทราบคุณแม่ก็อาจจะติดตามเองมากกว่านี้ การดำเนินการล่าช้ากินเวลาถึง 3 ปี ถึงแม้ว่าคนร้ายจะเปลี่ยนซิม ศัลยกรรม เปลี่ยนที่อยู่ ไม่ออกจากบ้าน ย้ายที่ทำงาน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนคิดว่าอยู่ที่ความจริงจังของตำรวจมากกว่า ส่วนของคดีนั้นต้องมีการขยายผลต่อเพราะมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาไม่ได้ทำคนเดียว