ตร.ชนะสงครามหิ้วแก๊งไต้หวันโกงบัตรเอทีเอ็มคืนเงินภาษี

ตร.ชนะสงครามหิ้วแก๊งไต้หวันโกงบัตรเอทีเอ็มคืนเงินภาษี

ตร.ชนะสงครามหิ้วแก๊งไต้หวันโกงบัตรเอทีเอ็มคืนเงินภาษี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตำรวจชนะสงครามหิ้วแก๊งแก๊งไต้หวันโกงบัตรเอทีเอ็มคืนเงินภาษี ฝากขังศาลอาญา พร้อมค้านประกันกลัวหนี ตร.สากลไต้หวันจับมือกองปราบหาข้อมูลแก๊งอาชญากรข้ามชาติชาวไต้หวัน

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 3 มี.ค. 52 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม นำตัวนายเชน เช็ง ฮวน หรืออาหมิง อายุ 30 ปี นายเช็ง ซี หมิง หรือ ป้านซ่าย อายุ 22 ปี ทั้งสองเป็นชาวไต้หวัน และนายสุรพงศ์ แซ่หู อายุ 32 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ 3 ผู้ต้องหาคดีโกงบัตรอิเล็คทรอนิกส์ การรับคืนเงินภาษี มายื่นคำร้องฝากขังเป็นเวลา 12 วัน จนถึงวันที่ 14 มี.ค. เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานอีก 4 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา รอผลรอยพิมพ์นิ้วมือ และอื่น ๆ โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 52 เจ้าหน้าที่ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สายป้องกันการทุจริตบัตรเอทีเอ็มของธนาคารต่าง ๆ กระทั่ง เจ้าหน้าที่สายงานฯแจ้งว่ามีผู้ต้องสงสัยกำลังทดลองใช้บัตรเอทีเอ็มจึงนำกำลังเข้าจับกุมได้ พร้อมของกลางหลายรายการ ทั้งนี้ผู้ต้องหาจะโทรศัพท์หลอกลวงว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะโอนเงินภาษีเงินได้คืนเข้าบัญชีของผู้เสียหาย แล้วหลอกให้ผู้เสียหายไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มตามที่บอกขั้นตอนให้เมื่อหลงเชื่อแล้วก็โอนเงินเข้บัญชี จากนั้นผู้ต้องหาก็นำบัตรเอทีเอ็มไปกดถอนเงินดังกล่าว ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากเกรงจะหลบหนี และเกรงจะไปข่มขู่พยาน
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ตร.สากลไต้หวันจับมือกองปราบหาข้อมูลแก๊งอาชญากรข้ามชาติชาวไต้หวัน

นาย เจย์ ลี (MR. JAY LI) ตำรวจสากลไต้หวันประจำประเทศไทย (อินเตอร์โปล) พร้อมเลขา เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผผก.2 บก.ป. เพื่อประสานข้อมูลแก๊งต้มตุ๋นชาวไต้หวันร่วมกับคนไทยใช้กลวิธีหลอกเหยื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรจะคืนเงินภาษีผ่านระบบเอทีเอ็มแต่กลับขโมยเงินในบัญชีไป โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น

พ.ต.อ.สุพิศาล เปิดเผยว่า กองปราบปรามได้ประสานข้อมูลกับตำรวจสากลไต้หวันประจำประเทศไทยเพื่อให้ช่วยตรวจสอบประวัติแก๊งอาชญากรชาวไต้หวันกลุ่มนี้ว่าเครือข่าย หรือวิธีการกระทำผิดอย่างไรบ้าง รวมถึงเส้นทางของเงินที่มีการเข้าออกของแก๊งอาชญากรกลุ่มนี้ โดยทางอินเตอร์โปลได้ให้ความสนใจในคดีนี้เป็นอย่างมาก

พ.ต.ท.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่มีการประสานกันนั้นส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทางเทคนิค และเบาะแสต่างๆในการสืบสวนหาตัวคนร้ายชาวไต้หวันรายอื่นๆที่คาดว่าอาจยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย
ส่วนความคืบหน้าในการสอบสวนรวบรวมหลักฐานในคดีนี้นั้น พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวว่า ยังมีผู้เสียหายทยอยเดินทางมาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบหมายเลขบัญชีธนาคารต่างๆของกลุ่มผู้ต้องหาไปแล้วทั้งหมด 44 บัญชี ก่อนจะส่งต่อให้ สน.ชนะสงคราม ซึ่งเป็นท้องที่ที่ยึดหลักฐานมาได้เพื่อดำเนินการขออายัดเงินในบัญชีต่อไป

รอง ผบก.ป. กล่าวด้วยว่า หากผู้เสียหายรายใดพบว่าได้โอนเงินจากบัญชีตัวเองไปยังบัญชีปลายทางของกลุ่มผู้ต้องหาภายใน 44 บัญชีนี้ ทางตำรวจก็จะทำการอายัดเงินในบัญชีนั้นๆเพื่อขอคืนให้กับผู้เสียหาย แต่เท่าที่พบขณะนี้ใน 44 บัญชีที่ตรวจยึดมาได้พบว่า เงินที่มีการโอนเข้ามานั้นถูกกลุ่มคนร้ายกดเงินออกไปหมดเกือบทุกบัญชีแล้ว และภายใน 44 บัญชีที่มีการยึดมาพบว่า ยังไม่ตรงกับคดีที่ สน.บุคคโล ซึ่งมีแพทย์หญิงรายหนึ่งเป็นผู้เสียหาย
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 4 รายที่ถูกจับกุมตัวได้นั้น พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวว่า ได้แยกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สน.ปทุมวัน และสน.ชนะสงคราม โดยพนักงานสอบสวนแต่ละท้องที่ได้นำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญาแล้ว โดยมีการคัดค้านการให้ประกันตัว ส่วนความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ร่วมขบวนการล่าสุดทางตำรวจได้พบผู้ต้องหาเพิ่มเติมเป็นหญิงชาวไทยอายุประมาณ 50 ปี มีหน้าที่คอยกว้านซื้อสำเนาบัตรประชาชนของชาวบ้านในราคารายละ 500 บาท เพื่อนำสำเนาดังกล่าวไปใช้เปิดบัญชีให้กับกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งทางกองปราบปรามกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งประเภทนี้นั้นพบว่า มีหลากหลายอาชีพตั้งแต่พ่อค้า พนักงานบริษัท ครู อาจารย์ พนักงานบัญชี ข้าราชการ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีตั้งแต่หลักพันบาทไปจนถึงเกือบล้านบาท อย่างไรก็ตามจากข้อมูลที่ผู้เสียหายนำเข้ามาให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนั้นส่วนใหญ่พบว่าบัญชีปลายทางที่เงินผู้เสียหายถูกโอนเข้าไปนั้นไม่ตรงกับบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหา ตำรวจจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของแก๊งคนร้ายคนละกลุ่มกันแต่น่าจะมีความเชื่อมโยงถึงกันเพราะมีพฤติการณ์กระทำผิดลักษณะเดียวกัน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook