หน่อย-บุษกร- เจี๊ยบ-โสภิตนภาโผล่ดูของกลาง แก๊งออฟซ่า

หน่อย-บุษกร- เจี๊ยบ-โสภิตนภาโผล่ดูของกลาง แก๊งออฟซ่า

หน่อย-บุษกร- เจี๊ยบ-โสภิตนภาโผล่ดูของกลาง แก๊งออฟซ่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธุ์ และ เจี๊ยบ-โสภิตนภา ชุ่มภาณี โผล่ดูของกลางที่ถูก แก๊งออฟซ่า โจรกรรม

(6มี.ค.) ที่กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล4 (กก.สส.น.4) มีเจ้าทุกข์หลายรายทยอยเดินทางเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สินของกลางจำนวนมากที่ถูก"แก๊งออฟซ่า"โจรกรรม จนเต็มห้องสืบสวน โดยเจ้าหน้าที่ต้องให้ลงชื่อไว้ทีละ 5 รายก่อนที่จะเข้าไปตรวจดูทรัพย์สิน เพราะเจ้าหน้าที่เกรงว่าทรัพย์สินจะสูญหาย

ต่อมานางโสภิตนภา หรือเจี๊ยบ ชุ่มภาณี และนายธิตินัน์ ชุ่มภาณี สามีเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ปกรณ์ กิตติวัฒน์ ผกก.สส.น.4 เพื่อขอดูทรัพย์สินเพราะเคยถูกคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์สินภายในบ้านย่านสุขุมวิทได้ทรัพย์สินกว่า 5 ล้านบาทในวันขึ้นบ้านใหม่ เจ้าหน้าที่จึงให้ดาราสาวพร้อมสามีเดินดูทรัพย์สิน ปรากกฏว่ามีสร้อยข้อมือล้อมเพชร ซึ่งพบว่าเหมือนของตัวเองที่หายไปพร้อมนำมาลองใส่กับข้อมือของดาราสาวได้พอดี ทำให้ดาราสาวมีสีหน้าที่แจ่มใส แต่ก็ยังไม่แน่ใจปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง

จากนั้น"หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์" เดินทางมาพร้อมกับแม่สามี พร้อมเข้าไปทักทาย เจี้ยบ-โสภิตนภา จากนั้นเดินดูทรัพย์สินบนโต๊ะวางของกลางพบว่าของกลางรายการที่ 75 เป็นนาฬิกาปาเต๊ะ สีดำดาราสาวถึงกับตกใจและยิ้มด้วยสีหน้าสุขใจ และกล่าวว่าเหมือนนาฬิการที่หายไปมากและยังมีเครื่องประดับโดยใช้เวลาตรวจสอบทรัพย์สินประมาณ 30 นาที ก่อนจะเดินทางกลับ

นางโสภิตนภา กล่าวว่า มากับสามีเพื่อมาตรวจดูทรัพย์สิน ภายหลังจากที่ทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแก๊งลักทรัพย์รายใหญ่ได้หลังจากตรวจสอบแล้วพบสร้อยข้อมือล้อมเพชรที่คล้ายกับของตน แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ต้องตรวจสอบละเอียดอีกครั้ง คนร้ายได้ขโมยทรัพย์สินภายในบ้านเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2551 เหตุเกิดท้องที่สน.ทองหล่อ ซึ่งทรัพย์สินสูญหายไปเป็น นาฬิกา และเครื่องประดับ มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท หลังจากนี้จะนำเอกสารหลักฐานการแจ้งความและเอกสารใบซื้อขายสร้อยข้อมือล้อมเพชรมาให้ตำรวจตรวจสอบ

ด้าน หน่อย-บุษกร กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมกับมารดา เพื่อมาตรวจสอบทรัพย์สินหลังทราบข่าวจากสื่อมวลชน จากการตรวจสอบทรัพย์สินของกลางพบนาฬิกา ยี่ห้อปาเต๊ะ ซึ่งลักษณะคล้ายกับของตนที่ถูกคนร้ายขโมยไป แต่ก็ยังไม่แน่ใจต้องตรวจสอบละเอียดอีกครั้งเพราะทรัพย์สินดังกล่าวคนอื่นก็มีกันเยอะ วันนี้ได้เตรียมหลักฐานใบแจ้งความและเอกสารการซื้อขายมาให้ตำรวจด้วย เบื้องต้นทราบว่าของกลางบางส่วนถูกนำไปจำนำและนำไปขายที่ปอยเปตแล้ว ตนจะรอตรวจสอบของกลางที่จะนำออกมาจากโรงรับจำนำว่ามีของตนหรือไม่

"คนร้ายขโมยทรัพย์สินภายในบ้านดิฉันเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2549 ทรัพย์สินที่สูญหายไปมีทั้งนาฬิกา เครื่องประดับต่างๆและเงินสด 2 แสนบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกคนร้ายขโมยประมาณ 7 ล้านบาท หลังจากเกิดเหตุทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้ทรัพย์สินคืนมา ทั้งไสยศาสตร์และไปดูหมอ ซึ่งหมอดูเคยบอกว่าจะได้ทรัพย์สินคืน หลังจากนั้นดิฉันกับสามีจะไม่เก็บทรัพย์สินและของมีค่าไว้บ้านแล้ว จะนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร"หน่อย-บุษกร กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.อาณัติ เกล็ดมณี รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (รอง ผบก.น.4) กล่าวถึงการดำเนินการรวบรวมทรัพย์สินของกลางที่ยึดมาได้จากผู้ต้องหาว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนสน.วังทองหลาง ทำการรวบรวมเป็นบัญชีพรัอมบันทึกภาพ และตั้งเป็นรูปกรรมการตรวจมอบของกลางให้พนักงานสอบสวนสน.วังทองหลาง เป็นผู้ดูแลรักษา หากประชาชนที่สงสัยว่าจะเป็นทรัพย์สินของตัวเองให้ไปดูของกลางได้ที่พนักงานสอบสวนสน.วังทองหลาง

"หากใช่ทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมมาให้นำหลักฐานของทรัพย์สินเข้าติดต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุที่แจ้งความไว้ให้เป็นผู้ประสานงานกับพนักงานสอบสวนสน.วังทองหลาง เพื่อตรวจดูทรัพย์สินโดยละเอียด หากมีจำนวนหลายรายต้องมีการโต้สิทธิ ต้องนำหลักฐานมายืนยันว่าใครมีหลักฐานชัดเจนกว่ากัน หากใช่ทรัพย์สินของตนจริง ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุนำเอกสารไปติดต่อขอรับทรัพย์สินจากพนักงานสอบสวนสน.วังทองหลางที่จะมอบฝ่านร้อยเวรเจ้าของคดีทางผู้เสียหากไม่สามารถรับทรัพย์สินได้เอง" พ.ต.อ.อาณัติ กล่าว

พ.ต.อ.อาณัติ กล่าวอีกว่า ส่วนทรัพย์สินที่คนร้ายซื้อเป็นรถยนต์ และทองรูปพรรณ บ้าน มูลค่าหลายล้านบาท พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนส่งศาลหากไต่สวนว่าได้มาจากการกระทำผิดศาลจะสั่งให้จำหน่ายของกลางขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชดเชยให้ผู้เสียหายทางศาลจะชี้ขาด

ขณะที่ พ.ต.อ.ปกรณ์ กิตติวัฒน์ ผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (ผกก.สส.น.4) เปิดเผยว่า สั่งให้พ.ต.ท.อภิชาติ อุดรมาตย์ สว.ผ.1กก.สส.น.4 นำตั๋วจำนำที่พบในบ้านผู้ต้องหากว่า 50 ใบ ไปตรวจสอบตามโรงรับจำนำก็พบว่ายังมีทรัพย์สินอยู่ในโรงรับจำนำหลายรายการจึงให้ฝ่ายสืบสวนบันทึกภาพทรัพย์สินเหล่านั้นมาให้ผู้เสียหายดู และประสานพนักงานสอบสวนทำการอายัดทรัพย์สินที่พบทั้งหมด

"ส่วนการดำเนินการล่าตัวผู้ต้องหาที่เหลือทั้งนายพี และนายเด ได้จัดกำลังชุดสืบสวน 2 ชุด กำลัง 15นาย ออกไล่ล่า และได้กำชับให้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเนื่องจากคนร้ายใช้เงินที่ขโมยมาได้ไปซื้ออาวุธปืนจำนวนมากติดตัวอยู่ตลอดเวลาหากมีการปะทะกันตำรวจต้องใช้มาตรการรุนแรงตอบโต้ โดยจากการสอบสวนทราบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้ทำการโจรกรรมมาหลายครั้งเริ่มปี 2549 ทั้งกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียงมีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะเท่าที่ผู้เสียหายแต่ละรายถูกโจรกรรมไปแต่ละครั้งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทก็มี"พ.ต.อ.ปกรณ์ กล่าว

พ.ต.อ.ปกรณ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาที่เหลือทั้ง 2 คนเป็นมือเจียร์ตัดตู้เซฟ โดยเริ่มเส้นทางโจรตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อยตามคอนโดจนมาเข้าร่วมกับนายออฟ ฉายาในวงการนักแข่งเรียก"หมูสกปรก" เพราะมีนิสัยทำตัวสกปรกและชอบพูดลับหลังให้ร้ายทีมแข่งและนักแข่งคนอื่นจะเป็นที่รู้จักกันดีจึงตั้งฉายา"ออฟซ่า" หรือ "หมูสกปรก" วางแผนแยบยลมีการนำเอาบัตรประชาชนใบขับขี่ที่ขโมยมาไปไว้แลกปิดบังอำพรางตัวเองเพื่อเข้าโจรกรรมในสถานที่ต่างๆ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook