เช็คก่อนแชร์! 5 เหตุการณ์ชีวิตเปลี่ยนด้วยโลกออนไลน์
โลกออนไลน์สังคมไร้พรมแดนของคนในยุคปัจจุบันที่ตอบสนองการสื่อสารอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้คนสมัยนี้ติดต่อกันง่ายมากขึ้นและมีการส่งต่อข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปสู่สังคมหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว เป็นช่องทางช่วยเหลือป้องกันภัยสังคม
แต่หากการใช้สื่อออนไลน์แชร์ข้อความหรือข้อมูลที่ไม่ถูกไตร่ตรองและตรวจสอบให้ดีก่อนคนที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าของข่าวอาจได้รับผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาลก็เป็นได้ ตามไปดูอุทาหรณ์ของคนชอบแชร์ที่บ้างครั้งอาจจะทำร้ายชีวิตใครคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
เหตุการณ์แรก มนุษย์กล้องในตำนาน เรื่องนี้กลายเป็นที่โด่งดังในโลกออนไลน์เมื่อปี 2557 หลังจากที่ผู้ใช้เฟซบุ้ครายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพและข้อความเตือนภัยสาว ๆ ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ให้ระวังหนุ่มโรคจิตที่แอบซุกกล้องขนาดจิ๋วโดยติดไว้ที่ปลายรองเท้าด้านซ้ายเพื่อแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวๆ
ซึ่งหลังจากเรื่องนี้ถูกแชร์บนโลกออนไลน์และส่งต่อกันเป็นวงกว้างทำให้ชาวโซเชี่ยลทั้งหลายต่างรุมประณามมนุษย์กล้องรายนี้และถูกตราหน้าว่าเป็นชายโรคจิต
แต่แล้วความจริงทั้งหมดก็เปิดเผยเมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้ออกมายืนยันความบริสุทธิ์โดยบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะรองเท้าที่ตนใส่ในวันนั้นขาดตรงเล็บเท้าพอดีจึงดูเหมือนซ่อนกล้องไว้สร้างความกระจ่างให้กับสังคม
แต่สิ่งที่ทิ้งไว้ข้างหลังให้กับเหยื่อโซเชี่ยลรายนี้คือชีวิตต้องพังไม่เป็นท่า กลายเป็นคนที่ไม่อยากเข้าสังคม เพราะทุกสายตาจ้องมองมาที่เค้าว่าเป็นคนโรคจิต จนเครียด ไม่กล้าออกไปไหน กินข้าวไม่ลง ถึงขนาดแม่ต้องมาถามว่าเป็นโรคจิตหรือ ทำไปเพราะอะไร และสิ่งที่เสียใจที่สุดคือ ทำไมแม่ต้องมานั่งเสียใจกับลูกคนนี้ด้วย ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด แย่ที่สุดที่ทำให้แม่เสียใจ
เหตุการณ์ที่สอง แชร์กระหน่ำพ่อเลี้ยงโหดกระทืบลูก โลกออนไลน์ได้แชร์คลิปเหตุการณ์ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคล้ายเป็นพนักงานส่งนม กำลังทำร้ายตบตีและเตะเด็กอย่างรุนแรง ทำให้ร่างเด็กปลิวและล้มลงไปนอนกับพื้น แม้เด็กจะพยายามกอดขาไว้ แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังเตะอีกครั้ง
จนชาวโซเชียลไม่พอใจและสาปแช่งการกระทำครั้งนี้ พร้อมตามล่าหาตัวชายคนดังกล่าวมาดำเนินคดี โดยมีผู้เข้าแสดงความคิดเห็นว่าชายคนดังกล่าวน่าจะเป็นพ่อเลี้ยงและทำร้ายเด็กที่ไม่ใช่ลูกต้องตนเอง
แต่ในเวลาต่อมาชายที่ปรากฏในคลิปได้ออกมาขอโทษต่อสังคมและยอมรับว่าโมโหทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ สาเหตุเพราะเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกหายไป ที่สำคัญตนเองคือพ่อแท้ๆของเด็กไม่ใช่พ่อเลี้ยงและรักลูกมาก
โดยหลังจากการเปิดเผยพบข้อมูลที่สวนทางกับการกระทำของหนุ่มรายนี้ เพราะเขาคือเสาหลักคนเดียวของครอบครัวต้องหาเลี้ยงภรรยาที่ป่วยเป็นโรคสมองลีบ แขน ขา อ่อนแรงและต้องเลี้ยงลูกทั้งหมด 4 คน
ซึ่งผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพ่อใจโหดและต้องถูกบริษัทสั่งให้หยุดพักงานชั่วคราว เพื่อให้ไปเคลียร์ปัญหาให้จบก่อน ทำให้ขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว
เหตุการณ์ต่อไปเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนชอบแชร์ ข้าราชการปากไวเกือบถูกไล่ออกเพราะแชร์ไม่คิด โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งใน จ.ยโสธร เมื่อข้าราชการนายหนึ่งได้แอบถ่ายภาพพนักงานสาวปั้มน้ำมันดังกล่าว
แล้วนำภาพและข้อความมาโพสต์ในโลกออนไลน์เชิงลักษณะดูหมิ่นจุดด้อยของน้องเค้า ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านก็คงอยากจะเม้ามอยหรือนินทาแบบขำๆ
แต่เมื่อภาพและข้อความดังกล่าวถูกแชร์ไปบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว ชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็นตรงกันข้ามและประณามการกระทำของข้างราชหนุ่มรายนี้ที่ทำไม่ตัวเหมาะสมดูถูกปมด้อยคนอื่น แต่หลังจากโดนถล่มเละข้าราชการนายนี้ก็ได้เข้ามาขอโทษและปรับความเข้าใจกับน้องเค้าเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือข้าราชการท่านนี้เกือบจะต้องหมดอนาคตกันเลยทีเดียว หลังจากถูกผู้ว่าฯตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย กลายเป็นบทเรียนที่ต้องจำขึ้นใจหากแชร์โดยไม่คิดชีวิตอาจพัง
เหตุการณ์ที่สี่ แต่งหน้าผิดชีวิตเปลี่ยน เรื่องราวนี้ถือเป็นด้านดีๆของโลกโซเชี่ยลที่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของคนไทย โดยหลังจากที่เจ้าสาวรายหนึ่งได้โพสต์ภาพงานแต่งงานของตนเอง พร้อมข้อความที่สุดแสนจะเสียใจหลังจากจ้างช่างแต่งหน้ามืออาชีพมาแต่งหน้าเพื่อให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดูดีที่สุดในชีวิต
แต่แล้วความฝันก็พังทลายลงเพราะสิ่งที่ได้กลับไม่ใช่สิ่งที่คิด ฝีมือของช่างรายนี้แย่มากสวนทางกับสรรพคุณซะเหลือเกิน เมื่อเรื่องราวนี้ถูกแชร์ไปบนโลกออนไลน์เพียงข้ามคืนก็เกิดวลีเด็ด "แต่งหน้าผิดชีวิตเปลี่ยน" ทำให้ชาวเน็ตต่างสงสารและเห็นใจเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวอย่างมาก
แต่แล้วพลังโซเชี่ยลก็บังเกิดเมื่อโพสต์นี้ถึงหูกลุ่มช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ก็เลยช่วยกันสร้างฝันให้กับบ่าวสาวด้วยการอาสาทำ Re-wedding ให้ใหม่ พร้อมจัดเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ชุดผ้าไหม โดยมาจัดให้ถึงบ้านและไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เพราะอยากจะมอบความสุขให้กับบ่าวสาวในวันแต่งงานเพื่อเป็นความทรงจำดีๆไปตลอดชีวิต ต้องขอขอบคุณพลังโซเชี่ยลที่เปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับเจ้าสาวได้มีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นอีกครั้ง
เหตุการณ์สุดท้าย ลุงเร่ร่อนเก็บเงินคืนเจ้าของ เป็นเรื่องราวดีๆที่อยากจะให้มีการแชร์บนโลกออนไลน์ทุกวันและที่สำคัญคนทำดีต้องได้ดีจะช้าหรือเร็วความดีย่อมตอบแทนคนดีเสมอ โลกออนไลน์ได้แชร์ภาพและเรื่องราวสุดประทับใจของคุณลุงเร่ร่อนที่เก็บกระเป๋าสตางค์ของผู้ชายท่านหนึ่งและนำไปแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง เพื่อให้ตามหาเจ้าของ
ซึ่งในกระเป๋ามีเงินสดจำนวนกว่า 20,000 บาท แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือคุณลุงผู้มีจิตใจดีท่านนี้ไม่ได้นำเงินในกระเป๋าไปใช้แม้แต่บาทเดียว ทั้งที่เป็นคนจรจัดมีเงินติดตัวไม่ถึงสิบบาท ไม่มีที่นอน ไม่มีงานทำ ตกงานมาปีกว่าเพราะไปสมัครงานแล้วไม่มีใครรับเนื่องจากไม่มีเอกสารเพราะโดนโจรปล้นกระเป๋าไปหมด
จึงอาศัยหลับนอนที่หน้าสถานีรถไฟได้ดินเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหลังจากที่เจ้าของกระเป๋าสตางค์มารับของที่ สน.ห้วยขวาง พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตอบแทนคุณลุงผู้ที่จิตใจซื่อสัตย์คนนี้ ด้วยการรับเข้าทำงานและหาที่อยู่ให้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไปเป็นสิ่งตอบแทนที่พลิกชีวิตชายเร่ร่อนคนนี้ไปตลอดกาล เป็นเรื่องราวดีๆที่อยากให้มีการแชร์เยอะๆ สังคมไทยจะได้น่าอยู่ขึ้น
โลกออนไลน์เป็นสังคมที่ใหญ่และไวสำหรับข่าวสารเพราะฉะนั้นแล้วการแชร์หรือโพสต์ข้อความใดๆ ควรจะคิดและไตร่ตรองให้ดี หากแชร์โดยไม่คิด โพสต์โดยไม่ไตร่ตรอง คนที่เกี่ยวข้องอาจจะได้รับผลกระทบที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ชีวิตจะดีขึ้นหรือจะแย่ลงอยู่ที่คุณจะเลือกแชร์
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ