นายกไม่ท้อโดนเสื้อแดงขับไล่ แจงกลับจากอังกฤษจะลงพื้นที่อีก

นายกไม่ท้อโดนเสื้อแดงขับไล่ แจงกลับจากอังกฤษจะลงพื้นที่อีก

นายกไม่ท้อโดนเสื้อแดงขับไล่ แจงกลับจากอังกฤษจะลงพื้นที่อีก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกรัฐมนตรีไม่ท้อโดนเสื้อแดงขับไล่ เตรียมลงพื้นที่อีกครั้งหลังกลับจากอังกฤษ ที่จะเดินทางไปอังกฤษสัปดาห์หน้าเพื่อร่วมหารือศก.โลกก่อนประชุม G20 ต้น เม.ย.

ายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ว่า สัปดาห์หน้าผมอยู่ที่ประเทศอังกฤษครับ เพราะว่าได้รับเชิญจากท่านนายกรัฐมนตรีอังกฤษไป เพื่อที่จะไปพูดคุยปรึกษาหารือก่อนที่จะมีการประชุม G 20 คือการประชุมบรรดาเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ของโลกในช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก

ไม่ท้อโดนเสื้อแดงขับไล่เตรียมลงพื้นที่อีกครั้งหลังกลับจากอังกฤษ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่พบปะประชาชนในต่างจังหวัด เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาว่า คิดว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการทำ คือได้พบปะกับประชาชน ได้ไปไขข้อข้องใจและตอบข้อสงสัย รวมไปถึงรับข้อสังเกตปัญหาเสียงสะท้อนมาเพิ่มเติม อย่างที่จังหวัดลพบุรีได้มีการสรุปมาเป็นเอกสารให้ตนด้วย ซึ่งถือว่าดีเพราะเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจของเขาเองในระดับจังหวัด ทำให้รัฐบาลเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าปัญหาที่ส่งผลกระทบไปในระดับพื้นที่เป็น อย่างไร อย่างที่จังหวัดลพบุรีที่เขาทำตัวเลขมาสำหรับปี 2551 เห็นได้ชัดว่าภาคบริการได้รับผลกระทบแรง ส่วนภาคการเกษตรยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่า สำหรับภาคอุตสาหรรมยังทรงอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อดูจากบรรยาการแล้วการลงพื้นที่ในอนาคตกลัวหรือไม่ว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าคงจะไม่มี และตนคิดว่าการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทีคนที่ผ่านมาน่าจะเป็นการพิสูจน์ว่าเรา ลงไปเพื่อประโยชน์ในการทำงานไม่ใช่เรื่องการเมือง และเชื่อว่าประชนมีความตั้งใจที่จะให้เรามีโอกาสใกล้ชิดและแลกเปลี่ยนปัญหากัน

ส่วนที่มีการขว้างปาสิ่งของของกลุ่มเสื้อแดงนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นขวดน้ำพลาสติก อาจจะเป็นความหงุดหงิด เพราะตากแดดกันอยู่นาน

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีมีกำหนดการลงพบปะประชาชนในพื้นที่อื่นๆอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มี แต่ในวันที่ 13-14 มีนาคมนี้ตนจะเดินทางไปร่วมประชุมจี 20 ที่ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นสัปดาห์ถัดไปก็จะลงพื้นที่ ส่วนจะเป็นพื้นที่ไหนนั้น นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้รวมรวบ เพราะต้องดูจังหวัดที่ยังไม่มีรัฐมนตรีลงไป เมื่อถามว่ารู้สึกท้อแท้หรือไม่ที่ลงพื้นที่แล้วถูกกลุ่มเสื้อแดงต่อต้านขับ ไล่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ครับ ตนคิดว่ททุกอย่างเป็นผปรกติ และอย่างที่เรียนคือในสังคมเรายังมีคนที่มีความเห็นแตกต่างกัน

เมื่อถามว่ากลัวหรือไม่ว่าอาจจะถูกมองว่าการลงพื้นที่เป็นการไปยั่วยุ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนออกมาชุมนุมต่อต้าน นายอภิสิทธิ์ ไม่มี ตนไปตนไม่ได้ไปทำให้เกิดความขัดแย้งอะไร และตนบอกชัดเจนว่าไปทำอะไร ซึ่งถือว่าเป็นงานในหน้าที่

ต่อข้อถามว่าคิดว่าในช่วงรัฐบาลชุดนี้นายกรับมนตรีจะทำให้คนที่ต่อต้านกลับมาเห็นด้วยกับรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนตั้งใจ แต่ถ้าให้เห็นด้วยทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก แต่ต้องยอมรับในการที่จะอยู่ร่วมกันในกติกาที่ไม่กระทบกระทั่งกัน เมื่อถามว่าคิดว่าบรรยากาศเช่นนี้จะอยู่อีกนานหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องถามกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะตนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกที่ขัดแย้ง ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่เราพยายามทำในส่วนที่เป็นข้อห่วงใยของเขาอยู่ เช่น การปฏิรูปการเมือง

เมื่อถามว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงระบุว่ามีความพยายามที่จะทำให้เกิดความขัด แย้งเพื่อต้องการให้เกิดสงครามกลางเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็อาจจะมีบางส่วนที่พยายามทำอย่างนั้น แต่รัฐบาลก็จะไม่ไปเล่นด้วย ทั้งนี้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลอยู่แล้วที่จะไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง หรือความขัดแย้งที่รุนแรง และจะเห็นได้ว่า 2 เดือนที่ผ่านมาเราหลี่กเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกัน ไม่ให้เกิดความรุนแรงมาโดยตลอด ต่อข้อถามถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่ให้ประชาชนหวังเพิ่งรัฐบาลชุดนี้ในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นความเห็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าทำงานต่อไป และที่ทำงานทั้งหมดนี้ก็เพื่อประชาชนทุกคนซึ่งความจริงแล้วการที่เราจะต้อง ได้รับความร่วมมือก็สำคัญในความสำเร็จของงาน และเมื่องานสำเร็จก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของรัฐบาล แต่เพื่ประชาชน

เมื่อถามว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินถึงรากหญ้าโดยตรงจะเป็นปัญหาต่อการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา ตนเชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาน พูดกันตรงๆประชาชนและรัฐบาลก็อยู่ประเทศไทย เพราะฉะนั้นจะทราบข้อเท๗จริงที่กำลังเกิดขึ้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี และความจริงตนนึกว่าคนไทยก็น่าจะช่วยกัน เพราะขณะนี้ประชาชนกำลังยากลำบากจากปัญาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาการว่างงาน เพระฉะนั้นทึกคนต้องมาช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น แต่ขณะเดียวกันต้องเรียนว่าในแง่ของการพึ่งพาตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องผิด แต่คงไม่ใช่หมายความว่าเป็นการปฏิเสธไม่ร่วมมือหรือไม่รับนโยบายการแก้ไข ปัญหาต่างๆ ทุกคนต้องช่วยกัน
เมื่อถามว่าถ้าเป็นไปได้จะขอร้องพ.ต.ท.ทักษิณให้ยุติความเคลื่อนไหได้หรือยัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู้ที่ตังพ.ต.ท.ทักษิณมากกว่าว่าจะยึดประโยชน์ของใคร ถ้ายึดประโยชน์ประเทศชาติก็น่าจะรู้ว่าสภาพบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องแก้ไข

เมื่อถามว่าขณะที่รัฐบาลพยายามจำกัดวงความขัดแย้งให้ลดลงแต่อีกฝ่ายพยายามเติมเชื้อความขัดแย้งมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนย้ำตลอดและย้ำต่อไปว่าบมือข้างเดียวไม่ดัง และรัฐบาลจะไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง และรัฐบาลได้รับคำแนะนำจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตั้งแต่แรกว่าทำงานใน สภาวะอย่างนี้ต้องอดทนอดกลั้น ตนก็จะยึดแนวทางนี้ต่อไปกับทุกฝ่ายที่เห็นแตกต่าง แต่จะไม่ยอมรับให้ใครทำผิดกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองจะมีส่วนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น เพราะเป้าหมายคือต้องการให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมว่าเป้าหมายของทุกคนคือ อะไร ซึ่งตนของฝากไปถึงสถาบันพระปกเกล้าว่าให้พิจารณาเพื่อเข้ามาช่วยการทำงานของ รัฐบาลเพื่อประโยชน์ของสังคม เม่อถามว่านายสุจิตต์ บุญบงการ ที่จะเข้มาดูเรื่องการปฏิรูปการเมืองจะสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นคนตั้งเงื่อนไขเรื่องนี้ เพียงแต่ขอให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้พิจารณา

ผู้ว่าฯ ลพบุรีสอบผ่าน-โฆษกอภิสิทธิ์ ชี้การเมืองดีขึ้นถ้าเสื้อแดงหยุดป่วน

นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีเพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ต่างๆ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า โดยภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าการลงพื้นที่จะมีกลุ่มเสื้อแดงไปขัดขวาง ก็ถือว่าเป็นสีสันทางการเมือง เป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย ส่วนที่มีบางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ ใช้รองเท้าขว้างปา เชื่อว่าหลังจากนี้สังคมจะพิจาณาได้

นายเทพไท กล่าวว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอต่อไป เพราะทุกตรางนิ้วของประเทศไทย รัฐบาลมีสิทธิที่จะลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาของประชาชน โดยไม่หวั่นเกรงกระแสต่อต้าน หรือเป็นพื้นที่สีแดง สีเหลือง หากเป็นประชาชนคนไทย ก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แม้ว่าจะไม่ใช่เสียงสนับสนุนของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลได้ให้ส.ส.ในสังกัดลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชนด้วย เนื่องจากว่ามีข้อจำกัดที่รัฐมนตรีน้อย จึงไม่สามารถลงพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง

"เชื่อว่าการลงพื้นที่ของรัฐบาล ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ แต่ก็ยอมรับว่ามีคนกลุ่มเล็กๆ ที่เสียผลประโยชน์ คือ เป็นกลุ่มคนที่หวังผลทางการเมือง ซึ่งผมไม่อยากให้กลุ่มคน 3-4 คน ที่เป็นแกนนำปลุกระดมคนเสื้อแดงมาขัดขวางผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นคนส่วน ใหญ่ นอกจากนั้นรัฐบาลได้ให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และปัญหาภัยแล้งมากกว่าปัญหาทางการเมืองปัจจุบัน " นายเทพไท กล่าว

นายเทพไท กล่าวด้วยว่าส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเคยสบประมาทรัฐบาลว่า เด็ก 2 คนไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ ขอเรียกร้องว่าให้เด็กเร่ร่อน หรือผู้ใหญ่จรจัด ละเว้นการปลุกระดมสร้างความแตกแยก หรือความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศ หากเด็กเร่ร่อน หรือ ผู้ใหญ่จรจัดคนนั้นยุติบทบาทโดยไม่มีการโฟนอิน พร่ำเพรื่อ ไปยังม็อบเสื้อแดงที่มีอยู่รายสัปดาห์ จนโฟนอินไปถึงงานวัด งานแต่ง งานบวชนาค เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้นอย่างแน่นอน

โฆษกประจำตัวนายกฯ กล่าวยืนยันด้วยว่าการลงพื้นที่ของรัฐบาลไม่มีวาระซ่อนเร้นที่จะยุบ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมไม่มีแนวคิดนี้ การยุบสภาเป็นเรื่องอีกยาวไกล ทั้งปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องทำ 2 เรื่อง คือ 1. ปัญหาเศรษฐกิจ และ 2. การปฏิรูปการเมือง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการ เมือง โดยมีนายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง เป็นประธานคณะทำงาน ซึ่งรัฐบาลจะไม่เข้าไปชี้นำ กดดัน หรือมีธงในการปฏิรูปการเมือง ดังนั้นเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในสังคม

ผู้สื่อข่าวถามการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีเพื่อหาเหตุผลการโยกย้ายผู้ว่าราชการ จังหวัดเพื่อเอาคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปดำรงตำแหน่งแทน นายเทพไท กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ดูแลกระทรวงมหาดไทย ทางพรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่ ซึ่งการโยกย้ายผู้ว่าฯก็ต้องดูความพร้อมเป็นหลัก ไมใช่ว่าเป็นคนของใคร ดังนั้นย้ายคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นผู้ว่าฯ แทน ไม่มีอย่างแน่นอน

ถามต่อว่าการปฏิบัติราชการ ของนายจารุพงศ์ พลเดช ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ต่อการลงพื้นที่ของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาต่อต้าน นายเทพไท กล่าว่า ถือว่าการทำงานของนายจารุพงศ์สอบผ่าน ส่วนการที่ปล่อยให้กลุ่มเสื้อแดงเข้าไปป่วน นายกฯ ไม่ได้ติดใจอะไร

เอแบคโพลชี้ศก.-การเมืองทำให้คนไทยมีความสุขน้อยลง

ดร. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน(Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง ศึกษาแนวโน้มดัชนีความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Happiness, GDH ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2552 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ลพบุรี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย เชียงใหม่ สุโขทัย พิษณุโลก นครศรีธรรมราช และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 4,959 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม 2552

ผลวิจัยพบว่า ค่าความสุขมวลรวมของประชาชนคนไทยภายในประเทศหรือ Gross Domestic Happiness, GDH ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนธันวาคม 2551 ที่ได้ 6.81 คะแนน เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน มาอยู่ที่ 5.78 คะแนนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเมื่อจำแนกตามภูมิภาคต่างๆ พบว่า คนกรุงเทพมหานครมีค่าความสุขมวลรวมต่ำสุดอยู่ที่ 5.22 คะแนน ในขณะที่คนภาคเหนือมีค่าความสุขสูงสุดอยู่ที่ 6.24 คะแนน ที่น่าเป็นห่วงคือ การเมืองการปกครองและสภาวะเศรษฐกิจกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่คนไทยมีความสุข น้อยที่สุด เพราะคนไทยมีความสุขต่อการเมืองการปกครองระดับประเทศเพียง 4.53 คะแนน และความสุขต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพียง 3.95 คะแนนเท่านั้น

ดร. นพดล กล่าวว่า เมื่อพิจารณากลุ่มปัจจัยที่ถูกศึกษากับความสุขมวลรวมของประชาชนในแต่ละ ภูมิภาค พบว่า คนกรุงเทพมหานครมีค่าความสุขต่อกลุ่มปัจจัยต่างๆ ต่ำกว่าประชาชนในภูมิภาคอื่นๆ ทุกประเด็นของการวิจัย เช่น สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ได้เพียง 3.57 คะแนน สภาวะเศรษฐกิจของตัวผู้ตอบแบบสอบถาม ได้เพียง 4.30 คะแนน การเมืองการปกครอง ได้ 4.05 คะแนน บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในชุมชนได้ 5.03 คะแนน วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นได้ 5.14 คะแนน และประเด็นอื่นๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ชีวิตครอบครัวหรือชีวิตสมรส สุขภาพกาย สุขภาพใจ และความเป็นธรรมในสังคมที่ได้รับ เป็นต้น

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อจำแนกกลุ่มประชาชนออกตามพื้นที่นอกเขตเทศบาล ในเขตเทศบาล และกรุงเทพมหานคร พบว่า คนนอกเขตเทศบาลมีความสุขมากกว่าคนในพื้นที่อื่นๆ คือ ความสุขมวลรวมของคนนอกเขตเทศบาลได้ 6.16 คะแนน คนในเขตเทศบาลได้ 5.59 คะแนน และคนกรุงเทพมหานครได้ 5.22 คะแนน ตามลำดับ นอกจากนี้ คนที่สนับสนุนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีความสุขอยู่ที่ 6.04 คะแนน คนไม่สนับสนุนรัฐบาลมีความสุขอยู่ที่ 4.93 คะแนน และคนที่เป็นพลังเงียบไม่เลือกข้างมีความสุขอยู่ที่ 5.78 คะแนน

ดร.นพดล กล่าวอีกว่า เมื่อศึกษาการนอนหลับของประชาชนในการวิจัยครั้งล่าสุด พบจำนวนของคนนอนไม่ค่อยหลับถึงนอนไม่หลับเลยเพิ่มสูงขึ้น จากร้อยละ 10.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.8 และคนที่นอนหลับได้ค่อนข้างสนิทถึงนอนหลับได้สนิท มีจำนวนลดลงจากร้อยละ 79.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 70.4 เมื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความสุขของประชาชนในกลุ่มที่นอนไม่หลับกับกลุ่ม ที่นอนหลับได้สนิท พบว่า คนที่นอนไม่หลับมีความสุขอยู่ที่ 4.48 คะแนน ซึ่งมีค่าคะแนนน้อยกว่ากลุ่มคนที่นอนหลับได้สนิทที่พบความสุขอยู่ที่ 6.20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน

ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งรีบทำงานให้หนักและรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิมในสามมิติของประเทศ คือ เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม โดยรัฐบาลน่าจะจัด "เวทีสาธารณะเสวนาถกแถลง" หาทางออกของปัญหาประเทศให้ครบทั้งสามมิติร่วมกับตัวแทนประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่ไม่ถูกจัดตั้งหรือเสนอตัวเข้ามาอย่างมีอคติและผลประโยชน์นายทุนแอบแฝง การออกมาตรการของรัฐบาลในการแก้ปัญหาใหญ่เชิงสาธารณะที่ผ่านมาอาจยังไม่ สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ครบทุกกลุ่มทันท่วงที เพราะประชาชนบางกลุ่มต้องการเงินและปัญหาปากท้องเป็นเรื่องแรก แต่บางกลุ่มต้องการให้เร่งแก้ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง และบางกลุ่มต้องการให้เร่งแก้วิกฤตทางสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด ทุจริตคอรัปชั่น อาชญากรรม และคุณภาพเด็กและเยาวชน เป็นต้น

"เมื่อดัชนี ความสุขมวลรวมของประชาชนลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องได้รับข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ที่ลดทอนอคติและปลอดผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใดๆ แอบแฝง ดังนั้น การจัดเวทีสาธารณะเสวนาถกแถลง จึงน่าจะเป็นวิธีการหนึ่งของการได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐบาลและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปร่วมกับแหล่งความเป็นจริงอื่นๆ พิจารณาออกแบบนโยบายและมาตรการสาธารณะที่ "แตกต่าง" ไปจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าหากประชาชนจำนวนมากเห็นว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรที่แตกต่าง ผลที่ตามมาคือ ยิ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ทำงานไป ยิ่งจะทำให้ประชาชนคิดถึงอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากขึ้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองก็จะเข้มข้นกลับเข้าสู่จุดวิกฤต ด้วยเหตุนี้ทางออกจึงน่าจะเป็น มาตรการสาธารณะแบบ "องค์รวม" เชื่อมประสานทุกกลุ่มที่เหมาะสมและตอบสนองความเดือดร้อนของประชาชนที่โดนใจ ได้อย่างรวดเร็วฉับไวทำให้ประชาชนคนไทยนอนหลับได้สนิทและมีความสุขแท้จริง อย่างยั่งยืนต่อไป" ดร.นพดล กล่าว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook