ย้อนรอย 5 คดีสยอง “ฆาตกรรมทำเพื่อเทพเจ้า”
ความเกลียดชัง โทสะ การฆ่าปิดปาก ล้วนเป็นสาเหตุลำดับต้นๆที่ทำให้เกิดคดีฆาตกรรมต่างๆ ในสังคมไทย แต่เชื่อหรือไม่ว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดคดีฆาตกรรมสยองที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมทุกครั้งที่ฆาตกรก่อเหตุอาชญากรรม นั่นคือการฆ่าเพื่อบูชาเทพเจ้าถึงแม้ว่าจะฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถึงแม้เรื่องนี้ฆาตกรอาจจะมีปัญหาทางจิต แต่การก่อเหตุในลักษณะนี้เริ่มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งกลายเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครคือฆาตกรและจะลงมือเมื่อใด ย้อนดูคดีสยองที่ฆาตกรก่อเหตุฆาตกรรมทำไปเพื่อบูชาเทพเจ้า
คดีแรกต้องย้อนไปเมื่อปี 2547 แม่ฆ่าลูกบูชาพระอินทร์ตามความเชื่อ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่างเด็กหญิงวัย 12 ขวบ นอนจมกองเลือด โดยลำคอมีบาดแผลจากของมีคมปาดซ้ำไปมาหลายครั้งจนหลอดลมขาดและพบมีดอีโต้เปื้อนเลือดใกล้ศพ โดยข้างๆมีโต๊ะที่มีกะละมังใส่น้ำที่แช่เส้นผมจำนวนหนึ่ง ดูคล้ายกับว่าเป็นพิธีทางไสยศาสตร์
ซึ่งผู้ต้องหาไม่ใช้ใครที่ไหนแต่เป็นญาติของเด็กทั้งหมด 4 คน คือนางกาญจนา อายุ 50 ปี (แม่ของเด็ก) ,นางบัว อายุ 68 ปี (ยายของเด็ก) ,นางอนงค์ อายุ 45 ปี (น้าของเด็ก),น.ส.จรินทร์ อายุ 32 ปี (น้าของเด็ก)
ซึ่งผลการตรวจสภาพจิตของหญิงผู้ลงมือก่อเหตุทั้ง 4 คน พบว่าทั้งหมดมีอาการป่วยทางประสาทและเชื่อว่าพวกตนเป็นร่างทรงของพระอินทร์ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ จึงได้ได้ฆ่าเด็กหญิง ซึ่งเป็นลูกสาวของนางกาญจนา เพราะเชื่อว่ามีความชั่วร้ายติดตัวเด็กหญิงอยู่ และต้องฆ่าเธอเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ไปอยู่กับพระอินทร์
นอกจากนี้ยังพบเรื่องที่น่าเศร้าจากเทปบันทึกเสียงที่พบในบ้าน เป็นเสียงสนทนาระหว่างหญิงทั้งสี่ลงมือฆาตกรรมลูกหลานของตน
โดยมีอยู่ตอนหนึ่งที่แม่ของเด็กพูดว่า "เสียสละชีวิตหนูให้แม่เถอะลูก และเสียงเหยื่อตอบกลับว่า ทำหนูทำไม อย่าทำหนูเลย ก่อนจะเงียบไป จึงเชื่อว่าเด็กหญิงอาจถูกสังหารทันทีที่พูดจบ"
คดีที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 5 ก.ค. 53 ยิงหนุ่มคลั่งมนต์ดำเขมร เสียชีวิตหลังเคยก่อเหตุฆ่าตัดคอเมียและบูชายันต์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จ.พัทลุง พบชายถูกยิงเสียชีวิตข้างถนน คือ นายประจวบ อายุ 38 ปี ซึ่งในกระเป๋าผู้ตายพบ ใบกระท่อม แหวน กำไล เงินสดอีกจำนวนหนึ่ง และชายผ้าถุงผู้หญิง ทั้งนี้จากการตรวจสอบประวัติผู้ตายพบว่าเป็นคนเคร่งในการเรียนหนังสือมนต์ดำของเขมรและสะสมเครื่องแต่งกายผู้หญิงจนเกิดอาการเพี้ยน
โดยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาผู้ตาย ได้ท่องมนต์ดำภาษาเขมรก่อนนอนจนเพี้ยน จากนั้นก็ใช้ขวานสับคอภรรยา จนขาดกระเด็น แล้วนำเอาศีรษะมาวางบนหมอน ก่อนจุดเทียนบูชา กลายเป็นคดีสยองที่หลายคนยังจดจำภาพจนติดตา
คดีที่สามเกิดขึ้นเมื่อ 6 ต.ค. 55 ภรรยาฆ่าหั่นศพสามี อ้างเป็นพระพุทธเจ้ามาปราบมาร
คดีนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมที่หลายยังจดจำได้ดีเพราะเป็นคดีสยองฆ่าหั่นศพที่เกิดขึ้นกลางกรุงเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพชายไม่ทราบอายุ สัญชาติ และชื่อ ถูกฆ่าแล้วหั่นศพ ใส่ในกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ โดยทิ้งไว้ในห้องพักที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในซอยบางขุนนนท์ 12
ทั้งนี้ฆาตกรใช่ใครที่ไหนแต่เป็นภรรยาของผู้เสียชีวิตนั่นเอง คือ น.ส.พรสุรีย์ ซึ่งระหว่างจัดกุมผู้ต้องหาทำท่านั่งสมาธิพนมมืออยู่ตลอดเวลา และกล่าวว่าเป็นร่างทรงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาปราบมาร และไม่รู้ตัวว่าฆ่าสามีตัวเองไปแล้ว พร้อมยืนยันด้วยท่าทางขึงขังด้วยว่า "รู้และเราได้ฆ่ามารเฒ่าโลหิต และมาจับได้ยังไง เราเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ใครกล้ามาจับเรา พ่อกับแม่ให้ฆ่ามัน"
แต่มีเรื่องที่ชวนขนลุกเมื่อตำรวจเฝ้าห้องขังเปิดเผยว่ากระเป๋าเดินทางที่ผู้ต้องหาใช้ใส่ชิ้นส่วนศพของสามี จากเดิมที่วางนอนไว้กลับตั้งขึ้นอย่างน่าประหลาด ก่อนจะขยับหมุนเคว้งเป็นวงกลม 1 รอบ อย่างน่าประหลาดใจ
คดีที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อ 11 ต.ค. 58 สามีสังหารโหดภรรยา อ้างทำพิธีบูชาเทพเจ้า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ จ.สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพ นางปองจิต อายุ 44 ปี สภาพศพนอนหงาย โดยมีผ้าห่มอย่างมิดชิด บริเวณลำคอมีรอยเขียวช้ำ และใต้ราวนมซ้ายมีบาดแผลถูกแทงจำนวน 2 แห่ง ส่วนที่บริเวณด้านบนหัวนอนผู้ตาย พบมีจานดอกไม้ธูปเทียน และเครื่องวัตถุมงคลของขลัง ใส่ไว้ในจานวางอยู่บนโต๊ะบูชา
จากการสอบสวนพบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายเจษฎา อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นสามีของผู้ตาย มีอาการป่วยทางจิต และมักชอบแอบอ้างตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าเมฆราชอยู่ในชั้นสูง เพื่อมาคอยดูแลโลกมนุษย์ และจะต้องมีการฆ่าคนส่งดวงวิญญาณเพื่อบูชาเทพเมฆราช
ซึ่งก่องลงมือได้เปลี่ยนชื่อที่ใช้ในการเล่นการเฟซบุ๊กประจำตัวเป็น “เทพเมฆราช” โดยได้ลงมือขณะที่ภรรยานอนหลับอยู่ข้างๆ ด้วยการบีบคอและใช้หมอนกดจนหมดสติจากนั้นเอาไขควงแทงซ้ำ จนเสียชีวิตเพื่อส่งดวงวิญญาณ ก่อนนอนอยู่กับศพจนถึงเช้า
คดีสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 4 ก.ย. 60 ฆ่าปาดคอเด็กหญิงวัย 5 ขวบ เพื่อบูชายันต์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ถูกฆ่าปาดคออย่างโหดเหี้ยม ก่อนนำศพใส่ถุงปุ๋ยโยนทิ้งในบ่อเกรอะร้าง กลางหมู่บ้าน โดยศพใส่เสื้อผ้าและกางเกงในครบ แต่มีรอยบาดแผลคล้ายถูกของมีคมบาดที่บริเวณลำคอเป็นแผลลึกคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง
ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนบ้านของเด็กหญิง คือ นายอนุสรณ์ หรือ “เบนซ์ ท่ากระดาน” 25 ปี โดยนายเบนซ์ ให้การว่า สาเหตุที่ลงมือฆ่าเด็กเพื่อบูชายันต์ แต่ยังคงให้การวกไปวนมาตลอด
แต่เมื่อไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพได้เล่าว่า ขณะที่ตนนอนหลับอยู่ในบ้าน เด็กที่เสียชีวิต ได้วิ่งเข้ามาในบ้าน แล้ววิ่งต่อไปในครัว ตนตกใจ เห็นว่าเด็กหญิงเป็นวิญญาณที่ตามเอาชีวิตจึงตามเข้าไปในครัว แล้วใช้มีดปาดคอ
จากนั้นจึงใช้ผ้าที่อยู่ในห้องเช็ดคราบเลือดแล้วนำเอาถุงปุ๋ยมาใส่ศพและนำไปทิ้งในบ่อเกรอะ พร้อมนำฝ้ามาปิดเพื่ออำพราง แล้วจึงเก็บข้าวของเดินหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายในป่า
ด้านนางเตือนใจ แม่ของนายเบนซ์ เปิดใจว่าปกติลูกชายไม่ใช่คนนิสัยโหดร้ายและยังสนิทกับเด็กที่ตาย เคยซื้อขนมให้เด็กกินอีกด้วย จึงเชื่อว่า ลูกชายอาจจะมีอาการหลอนจากการเสพกัญชามาตั้งแต่วัยรุ่น จึงได้ลงมือกระทำการดังกล่าวลงไป
ทั้ง 5 คดีที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่ามูลเหตุอาจจะเกิดขึ้นเพราะผู้ต้องหามีอาการเกี่ยวข้องกับโรคทางประสาทหรือผลข้างเคียงที่มาจากยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้สังคมไทยต้องตระหนักและอย่ามองข้ามผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้
ควรหมั่นดูแลและสังเกตคนรอบข้างอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันและรักษาได้อย่างทุกวิธี ไม่เช่นนั้นเหตุสลดที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นครอบครัวหรือคนใกล้ตัวเราก็เป็นได้