นายกรัฐมนตรี พบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขอบคุณต้อนรับอบอุ่น ทรัมป์ลุยสัมพันธ์ไทย
นายกรัฐมนตรี เข้าพบ "โดนัลด์ ทรัมป์" ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น ยืนยันสานต่อพัฒนาเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า 2 ประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมภริยาเข้าพบนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐและภริยา ในห้องรูปไข่ โดยกล่าวต่อสื่อมวลชนก่อนการหารือว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่มาเยือนสหรัฐฯ และขอขอบคุณประธานาธิบดีพร้อมภริยาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวแสดงความเสียใจต่อภัยพิบัติจากเฮอร์ริเคนที่เกิดขึ้น ในสหรัฐฯ และเปอร์โตริโก ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนของไทย ได้บริจาคเงินและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการบรรเทาวิกฤตด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติม และเหตุโศกนาฎกรรมที่ลาสเวกัส ด้วย รวมทั้งขอเป็นกำลังใจให้กับประธานาธิบดี และเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะนำพาประเทศให้พ้นเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้กล่าวยินดีต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะ พร้อมยืนยันในการพัฒนาสานต่อและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า ที่เห็นว่าไทยมีศักยภาพในหลายด้าน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ไทยและสหรัฐฯ ต่างมีนโยบายและแนวทางเดียวกัน คือ การให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนโยบาย America First ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สอดคล้องและเชื่อมโยงกับ นโยบาย Thailand 4.0 ของไทย เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน อย่างเท่าเทียมและคลอบคลุม
สำหรับการหารือเต็มคณะ ด้านความมั่นคง นายกฯและประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เห็นพ้องร่วมกันว่าเสาหลักสำคัญของความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ มีส่วนสำคัญในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ซึ่งตัวอย่างความร่วมมือที่ดีได้แก่ การฝึกซ้อม Cobra Gold พร้อมกันนี้ ไทยและสหรัฐฯจะขยายความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยนายกณได้เชิญนางอิวานกา ทรัมป์ (Ivanka Trump) บุตรสาวประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีความสนใจและมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เยือนไทยเพื่อดูงานและความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ จะขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงทางไซเบอร์ ด้านข่าวกรอง พร้อมทางหาแนวทางว่าจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อเสริมสร้างสันติสุขในภูมิภาค รวมทั้ง การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯในด้านความร่วมมือเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค ว่าได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในประเด็นต่างๆ เช่น สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี ซึ่งไทยยืนยันดำเนินการตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และสนับสนุนให้เกาหลีเหนือเข้าสู่การเจรจา ส่วนสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ไทยและสหรัฐฯร่วมผลักดันการแก้ปัญหา
ตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย
ส่วนการหารือการค้าและการลงทุน ตามสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ปี ค.ศ 1966 ทำให้นักธุรกิจอเมริกันได้ประโยชน์เหมือนคนไทยในการลงทุนที่ประเทศไทย พร้อมทั้ง ร่วมผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้น โดยกลไกที่มีอยู่ พร้อมตั้งกลไกใหม่ๆเพื่อสนับสนุนหามีปัญหาติดขัด โดยขณะนี้ นักลงทุนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯทั้งหมด 23 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนเพิ่มการลงทุนอีกรวม 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะสามารถสร้างงานได้มากกว่า 8,000 ตำแหน่ง จึงขอให้สหรัฐฯได้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทยเหล่านี้ พร้อมทั้ง ขอให้สหรัฐฯ เปิดตลาดสินค้าเกษตรไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ นายกฯ และ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท PTTGC America LLC กับหน่วยงาน JobsOhio ว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษา วางแผน และจัดทำโครงการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่เขตเบลมอนต์ (Belmont County) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานปิโตรเคมี