5 เหตุการณ์กราดยิงสะเทือนขวัญ ภัยสยองของคนสาธารณะ
ภัยก่อการร้ายนับวันยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปทั่วทุกมุมโลกที่ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น และที่สำคัญฆาตกรมักเลือกวิธีการสังหารหมู่ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดโดยเฉพาะสถานที่สาธารณะที่ผู้คนมารวมตัวกันกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ย้อนดูเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงสะเทือนขวัญภัยสยองของคนสาธารณะ
นครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เสียชีวิต 59 คน บาดเจ็บกว่า 500 คน
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 60 ที่นครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในสหรัฐ เมื่อมือปืนวัย 64 ปี ชายผิวขาวชื่อ สตีเฟน แพดด็อก ได้เข้าพักที่โรงแรมมัณฑะเลย์เบย์ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะลงมือใช้อาวุธปืนกราดยิงจากห้องพักบนชั้นที่ 32 ลงมายังเทศกาลดนตรีกลางแจ้งที่มีผู้ชมกว่า 2 หมื่นคน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 59 คน และบาดเจ็บกว่า 500 คน ก่อนยิงตัวตาย
ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า นายสตีเฟน แพดด็อก ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย
แต่ทางด้านกลุ่มไอเอสได้อ้างตัวผ่านสำนักข่าวอามัคว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีครั้งนี้ โดยระบุว่า นายแพดด็อกได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ และที่ผ่านมาในอดีตทางกลุ่มก็เคยออกมากล่าวอ้างลอยๆ ในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง
เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เสียชีวิต 39 คน บาดเจ็บกว่า 69 คน
เหตุการณ์กราดยิงในไนท์คลับไรนา ริมแม่น้ำ ย่านออร์ทาคอย เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 60 ซึ่งตรงกับวันฉลองเทศกาลปีใหม่ขณะที่นักท่องเที่ยวกว่า 700 คน กำลังดื่มกินกันอย่างเมามันส์ ทันใดนั้นมือปืนสวมชุดซานตาคลอสได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมทำให้มีเสียชีวิต 39 คน บาดเจ็บกว่า 69 คน
ทั้งนี้กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้อ้างว่าเป็นผู้บงการในการสังหารหมู่ที่คลับไรนาเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ทหารตุรกีเข้าไปเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการในซีเรีย ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มไอเอสอ้างผลงานการโจมตีครั้งใหญ่ในตุรกีอย่างเปิดเผย
ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีในตุรกีหลายครั้ง และสองสัปดาห์ต่อมาทางตำรวจตุรกีได้จับกุมผู้ก่อเหตุได้คือ "อับดุลกาดีร์ มาชาริพอฟ" ชาวอุซเบกิสถานวัย 34 ปี ซึ่งเขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในอัฟกานิสถาน และพูดได้ถึง 4 ภาษา
รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เสียชีวิต 50 คน บาดเจ็บ 53 คน
เหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 59 คนร้ายได้บุกเข้าไปในไนท์คลับเกย์ เมืองออร์แลนโด ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และใช้อาวุธปืนกราดยิงนักท่องเที่ยวกว่า 100 คนภายในร้าน ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปวิสามัญฆาตกรรมจนเสียชีวิต ซึ่งเหตุสลดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 50 คนและบาดเจ็บ 53 คน
ส่วนมือปืนรายนี้คือ นายโอมาร์ ซาดดิกี มาทีน อายุ 29 ปี ชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟกานิสถาน โดยจากการสืบประวัติพบว่าเขาเป็นผู้ฝักใฝ่ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธมุสลิม ซึ่ง ระหว่างการโจมตีได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลข 911 เพื่อประกาศสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มไอเอส หรือ ดาอิช
และได้กล่าวถึงพี่น้องตระกูลซาไนเยฟ ที่ก่อเหตุวางระเบิดการแข่งขันมาราธอนบอสตันอีกด้วยด้วย ส่วนมูลเหตุจูงใจอาจเกิดขึ้นเพราะเขาไม่พอใจที่เห็นชาวรักร่วมเพศจูบกันต่อหน้าต่อตาที่เมืองไมอามี
ขณะเดียวกันกลุ่มรัฐอิสลามไอเอสออกแถลงการณ์ผ่านสำนักข่าวอามักอ้างว่าเหตุครั้งนี้เป็นผลงานของไอเอสแม้เจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐานโยงใยที่แน่ชัดก็ตาม
เมืองนีซ ฝรั่งเศส เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน บาดเจ็บกว่า 100 คน
นับว่าเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดในประเทศฝรั่งเศส โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 59 คนร้ายได้ขับรถบรรทุกสีขาวด้วยความเร็วพุ่งชนฝูงชนอย่างบ้าคลั่งและก่อนลงมากราดยิงซ้ำใส่ผู้คนที่กำลังออกมาดูพลุดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองวันชาติของฝรั่งเศส ‘บาสติล เดย์’ที่บริเวณถนนริมชายหาดพรอมเมอนาด เด ซองเกล เมือนนีซ
และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญในที่สุด โดยผู้ก่อเหตุเป็นชายวัย 31 ปี โดยมีพื้นเพมาจากประเทศตูนีเซีย ในแอฟริกาเหนือ
ซึ่งเหตุการณ์นี้ห่างจากการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในกรุงปารีสเพียง 8 เดือน หลังจากวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เกิดเหตุก่อการร้ายด้วยการกราดยิง ระเบิดฆ่าตัวตาย และจับตัวประกันในกรุงปารีสและเมืองแซ็ง-เดอนี (ย่านชานกรุงปารีสทางทิศเหนือ) ประเทศฝรั่งเศส
ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 153 คน โดย 89 คนในจำนวนนี้อยู่ที่โรงมหรสพบาตากล็องและมีผู้ได้รับบาดเจ็บระหว่างเหตุโจมตีอีก 352 คน อีก 99 คนมีอาการสาหัส
เกาะอูเตอยา นอเวย์ เสียชีวิต 69 คน
22 กรกฎาคม 54 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อคนร้ายปลอมตัวเป็นตำรวจใช้อาวุธปืนยิ่งเด็ก ๆ และเยาวชน ซึ่งส่วนใหญ่อายุ 14-18 ปีที่มาตั้งค่ายฤดูร้อน บนเกาะอูโทยา ในนอเวย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 69 คน
โดยคนร้ายแต่งชุดตำรวจเดินเข้ามาในเกาะก่อนที่จะขึ้นไปยืนบนก้อนหินแล้วเรียกเด็กๆ ให้เข้ามาใกล้ๆ จากนั้นใช้อาวุธปืนออร์โตเมติกกราดยิงใส่ทุกคนที่อยู่บนบก แล้วก็เริ่มยิงคนที่อยู่ในน้ำ แม้กระทั่งคนที่แกล้งตายก็ไม่รอดเพราะถูกยิงซ้ำ
ซึ่งมือปืนใจเหี้ยมรายนี้คือ นายแอนเดอส์ เบห์ริง เบรวิก ชาวนอร์เวย์วัย 32 ปี เป็นพวกที่มีความคิดทางการเมืองแบบขวาจัด ต่อต้านมุสลิม แต่ยังไม่พบแรงจูงใจในการก่อเหตุในครั้งนี้ และเขาถูกตัดสินจำคุก 21 ปี ในข้อหาก่อการร้าย
การก่อการร้ายหรือการสังหารหมู่ไม่ว่าจะทำด้วยเหตุผลใดก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากทิ้งไว้เพียงความสูญเสียสำหรับคนรอบข้าง และที่สำคัญบุคคลที่เป็นเหยื่อความรุนแรงคือบุคคลสาธารณะที่ไม่มีสิทธิ์ป้องกันตัวใดๆเลย