ชูวิทย์ ขอประนอมข้อพิพาทพิธีกรช่อง3

ชูวิทย์ ขอประนอมข้อพิพาทพิธีกรช่อง3

ชูวิทย์ ขอประนอมข้อพิพาทพิธีกรช่อง3
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลฎีกาวินิจฉัย ไม่รับฎีกา ราชทัณฑ์ ฟ้องหมิ่น ชูวิทย์ หลังแฉส่วยข้าวผัดใต้ถุนศาลอาญากท.ใต้ 5,000 บาท ศาลยกประเด็นฎีการาชทัณฑ์ ไม่มีผู้พิพากษา-อัยการสูงสุดเซ็นต์รับรองตามกม. ด้าน ชูวิทย์ ขอประนอมข้อพิพาท วิศาล พิธีกรช่อง 3 ฟ้องหมิ่น ตีหน้าเศร้ายอมรับผิดอ้างเหตุบันดาลโทสะศาลนัดฟังผลไกล่เกลี่ย 6 พ.ค.

(23มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ถนนรัชดาเษก เวลา 09.50 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ ด.2421/2546 ที่นายธีระชัย เจษฎารักษ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานอบรมและฝึกวิชาชีพ 7 กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีนายชูวิทย์เข้าร้องเรียนต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ยุติธรรม(ขณะนั้น) พร้อมกับให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวใส่ความโจทก์ว่า เป็นผู้เรียกรับเงินจำนวน 5,000 บาท เพื่อเป็นค่าอนุญาตให้จำเลยนำข้าวผัดเข้าไปรับประทานในห้องควบคุมผู้ต้องขังบริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องจำเลย ต่อมาโจทก์ ยื่นฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง โดยโจทก์ยื่นฎีกา ซึ่งตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 บัญญัติห้ามไม่ให้คู่ความฎีกาในคดีศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่หากยื่นฎีกาโจทก์ต้องให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นแย้งในสำนวน หรือ อัยการสูงสุด ลงนามรับรองเพื่อฎีกา โดยคดีนี้ไม่ปรากฏว่าฎีกาของโจทก์มีการลงนามรับรอง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลจึงไม่อาจรับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัยได้

ภายหลังนายชูวิทย์ ฟังคำพิพากษาแล้ว ได้เข้าพิจารณาคดีที่นายวิศาล ดิลกวณิช ผู้ดำเนินรายการข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ สถานที่โทรทัศน์ช่อง 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จากกรณีเมื่อวันที่ 2 - 3 ต.ค.51 นายชูวิทย์ จัดแถลงข่าว ว่า นายวิศาล พูดจากวนประสาท ไม่มีมารยาท ไม่มีจรรยาบรรณของสื่อ ขณะที่มีการสัมภาษณ์นายชูวิทย์เมื่อครั้งลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร


โดยศาลให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ตกลงเจรจากัน ซึ่งสองฝ่าย พร้อมจะสู่การประนอมข้อพิพาท ศาลจึงกำหนดนัดไกล่เกลี่ยวันที่ 6 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.โดยนัดฟังผลการประนอมข้อพิพาทวันเดียวกัน เวลา 13.30 น.

ภายหลังนายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนว่าสังคมไทย ควรจะต้องมีใครสักคนที่กล้าพูดความจริง ซึ่งกระบวนการยุติธรรมจะง่ายมาก ถ้าคนนั้นพูดความจริง โดยคดีที่ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ตนได้พูดความจริงว่า ต้องมีการจ่ายค่าข้าวผัดถึง 5,000 บาท ส่วนคดีที่นายวิศาล ยื่นฟ้องนั้น ตนได้ยอมรับผิด และได้มีการจับมือกันกับนายวิศาลแล้ว โดยศาลนัดประนอมข้อพิพาทในวันที่ 6 พ.ค.นี้ ซึ่งตนกับนายวิศาลนั้น เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรียนสถาบันเดียวกัน แต่รุ่นห่างกัน 10 ปี ทั้งนี้เมื่อตนยอมรับผิดว่าขณะนั้นรู้สึกกดดัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะบันดาลโทสะ เชื่อว่านายวิศาลจะให้อภัย เพราะนายวิศาลเป็นคนใจกว้าง เป็นสื่อมวลชนที่มีความเป็นกลาง เมื่อคนทำผิด แล้วยอมรับผิด ก็น่าจะให้อภัย

ขณะที่นายวิศาล ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงเงื่อนไขการประนอมข้อพิพาท โดยระบุว่า ขณะนี้กระบวนการอยู่ในชั้นศาล ก็ต้องรอการประนอมข้อพิพาท อย่างไรก็ดี คดีหมิ่นประมาท ฯ นี้ ถือเป็นคนละกรณีกับคดีที่ได้มีการแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางกลับ นายชูวิทย์ และนายวิศาล ได้จับมือกันต่อหน้าสื่อมวลชนเพื่อให้ถ่ายภาพด้วย

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook