ชำแหละผีปอบ! มีจริงหรือแค่ความเชื่อที่งมงาย
คนไทยเกิดและเติบโตมากับความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา เพราะเป็นสิ่งลี้ลับที่ยากจะพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องผีปอบที่เข้าสิงคนเพื่อกินตับไตไส้พุงจนทำให้คนเสียชีวิตนั้นกลายเป็นความเชื่อที่ต้องมีพิธีกรรมไล่จับผีปอบ ที่บางครั้งคนที่ไม่เข้าใจกลับมองว่างมงาย
ดังเช่นกรณีที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วเมืองไทยเมื่อชาวบ้านหมู่แห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ เกิดความหวาดกลัวอย่างหนักหลังชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านทยอยตายสัปดาห์เดียว 4 ศพ ลักษณะคล้ายกันมีเลือดออกทาง ปาก จมูก ทวารหนัก สุดท้ายอาเจียนเป็นเลือดก่อนตาย ซึ่งต่างเชื่อกันว่าเป็นฝีมือผีปอบหญิงที่มีวิชาแก่กล้า ตกทอดทางกรรมพันธุ์ พร้อมปิดหมู่บ้านไล่ผีปอบ
โดยการจ้างพระ-ฤๅษี เข้าทำพิธีเพื่อล้างอาถรรพ์ "ผีปอบนาบง" ซึ่งหลังทำพิธีกรรมเสร็จสิ้นชาวบ้านต่างรู้สึกสบายใจและมีขวัญกำลังใจมากขึ้น แต่ทั้งนี้จากการตรวจสอบโดยแพทย์พบว่าผู้เสียชีวิต 2 คนนั้นมีสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคไข้ฉี่หนู และอีกรายเสียชีวิตด้วยปัญหาโรคความดัน
ทำให้สังคมต่างสงสัยว่าแท้จริงแล้วผีปอบมีจริง หรือ แค่ความเชื่อที่งมงาย
ทาง Sanook! News จึงได้ติดต่อสอบถามไปยัง อาจารย์ฤๅษีคัมภีร์ คัมภีรปัญโญ ผู้ทำพิธีไล่จับผีปอบ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ผีปอบมีมานานแล้วตั้งแต่ก่อนที่คนไทยจะนับถือศาสนาพุทธเพราะสมัยก่อนคนเราจะนับถือผีก่อนที่จะมีศาสนา เช่น ผีบรรพบุรุษ ผีไร่ผีนา และไม่เคยจางหายไป
ซึ่งทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังนับถือผีกันอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการทำบุญเกี่ยวกับวิญญาณที่ยังสืบทอดต่อกันมาในทุกชุมชนแสดงให้เห็นว่าชุมชนนั้นๆก็ยังนับถือผีกันอยู่
ผีปอบก็มีประวัติมาอย่างยาวนานเพราะในบทสวดวิชาธรรมจะมีบทที่กำหนดไว้เฉพาะผีปอบเป้าโพงผีและคำว่าปอบก็คือผีบาปซึ่งไม่รู้จักคุณของพระพุทธศาสนาเพราะไม่เชื่อถือความดีและผลของการกระทำกรรมชั่ว เมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นผีเร่ร่อน ซึ่งปอบจะเกิดขึ้น 3 แบบ
1.เกิดจากพวกว่าน
2.เกิดจากพวกที่เรียนอาคม
3.เกิดจากพวกหมอรำทรง
สาเหตุที่ผีปอบเข้าสิงร่างคนป่วยก็เพื่อที่จะดูดปราณชีวิต หรือ พลังงานชีวิต ทำให้คนที่ถูกสิงนั่นมีอาการเหนื่อยล้า ทำให้โรคแทรกซ้อน ถ้าผีปอบที่ยังไม่เก่งก็จะเข้าสิงคนที่ป่วยเพื่อแอบแฝงกินคนป่วย
ถ้าผีปอบที่แข็งแกร่งคืออยู่มานานก็จะสามารถเข้าสิงคนธรรมดาได้ โดยส่วนใหญ่เมื่อโดนสิงก็จะมีอาการคล้ายผีเข้า เช่น ร้องไห้บ้าง โอดครวญบ้าง แต่ถ้าถามว่าชื่ออะไรส่วนมากผีปอบจะโกหกและไม่ยอมบอกความจริง
วิธีไล่ผีปอบทำอย่างไร
วิธีการไล่ผีปอบนั้นต้องอธิบายไว้ก่อนว่าเหตุนั้นเกิดจากความกลัว คนเรามีความกลัวตายอยู่แล้วซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มรณะพะยะตะชิโต เรามีความตายเป็นที่ครอบงำแล้วย่อมมีถึงภูเขาบ้างป่าไม้บ้างเป็นสรณะ เพื่อหาที่พึ่งทางใจ
ซึ่งการที่เราจะทำให้ชาวบ้านหันเข้ามาหาหลักธรรมนั้น คือ เวลาที่เราจะไล่ผีปอบต้องลงหลักธรรมก่อน เขียนคาถาที่ออกมาจากครั้งพระพุทธเจ้าปราบห่าในเมืองสาลีและสวดพระปริตรก่อนหนึ่งคืน จากนั้นช่วงเช้าก็ให้ชาวบ้านทำบุญตักบาตร
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ทำการไหว้พระสวดมนต์ลงหลักและทำการขับไล่ต่อไป ซึ่งวิธีการที่เคร่งครัดนั้น ก็คือกุศโลบายเพื่อให้ทุกคนยอมรับและมีความสามัคคีกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ด้านอุปกรณ์ที่ใช้กำจัดผีปอบก็จะมีไม้วิษณุกรรมที่ลงคาถาพระกรรม หรือ เรียกว่าไม้เรด้าเพื่อนำไปชี้จุดที่ที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งคนที่จะจับไม้วิษณุกรรมนี้ต้องศึกษาพระธรรมไม่ต่ำกว่า 5 ปี ฝึกสมาธิทุกวัน ไม่กินเหล้าและต้องสวดมนต์ทุกวัน ซึ่งทุกอย่างต้องมีหลักการมีระเบียบแบบแผน เพราะพิธีกรรมเหล่านี้ทำเพื่อความสบายใจไม่ได้ทำเพื่อความงมงาย
การแกว่งไม้ก็เพื่อหาที่อยู่ของผีปอบและวิญญาณผีเร่ร่อนต่างๆ ที่ไม่ดี จากนั้นก็จะจับวิญญาณเหล่านั้นลงกระบอกไม้ไผ่แล้วใช้ผ้ายันต์ที่ลงอักขระไว้ปิดอีกทีนึง เมื่อจับเสร็จแล้วก็นำมาสวดและให้ชาวบ้านร่วมกันทำบุญอุทิศให้กับวิญญาณสัมภเวสีให้ไปผุดไปเกิดจากนั้นก็นำไปเผาเพื่อเป็นการชำระด้วยไฟ
ในเมื่อคนตายแล้วเป็นวิญญาณทำไมต้องเผารอบสองทั้งที่ไม่มีร่างกาย
คือต้องเข้าใจว่าเมื่อวิญญาณนั้นยังไม่ไปผุดไปเกิดภูตพวกนี้เป็นอมนุษย์ลักษณะเป็นกายละเอียดคล้ายๆลม คือมองไม่เห็นจะเป็นปัจจัตตัง ซึ่งคนเห็นได้คือผู้ปฏิบัติธรรมและจะรู้ได้เฉพาะเวลาที่เข้าทำพิธีแล้วตามจับมาจากนั้นต้องมีการชำระด้วยไฟอาคม
จากประสบการณ์ที่จับผีปอบเคยเจอเหตุการณ์แปลกๆบ้างไหม
ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไล่ๆอยู่ผีปอบเข้าสิงชาวบ้านก็มี ไล่ๆอยู่ผีปอบเข้ามาสู้เราก็มี เข้ามาด่าเรากลางพิธีก็มี เราก็จะต้องใช้สติมากกว่าปัญญาเพื่อให้รู้เท่าเหตุการณ์ทั้งหมด
หลังจากทำพิธีเสร็จหมู่บ้านนั้นก็จะต้องมีกติกาเพื่อให้อยู่กันอย่างสงบสุข ซึ่งภาษาอีสานเรียกว่า “คะลำ” โดยชาวบ้านต้องร่วมกันรักษากฎกติกาอย่างเคร่งครัดเรียกว่าเป็นศีลของหมู่บ้าน โดยผู้ใหญ่บ้านต้องประกาศ เช่น จะไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ในหมู่บ้าน,วันพระต้องไปทำบุญตักบาตรและสวดมนต์ ซึ่งเป็นกุศโลบายเพื่อให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ศาสนามากขึ้น
แล้วพิธีกรรมไล่ผีที่สิงคน ทำไมอาจารย์ถึงมองว่าเป็นกุศโลบาย
ถ้าเคยเห็นในหนังหมอผีจะใช้ไม้เรียวตีคนที่ผีเข้า และใช้น้ำมนต์ราดไปตามตัว เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง คือ ใช้ไม้ตีเพื่อเตือนสติ ถ้าเป็นคนจะรู้สึกเจ็บเพราะไม่มีใครอยากมานั่งเจ็บตัวหรอกซึ่งก็แสดงว่าผีออกแล้ว ส่วนเอาน้ำราดทั้งตัวให้เปียกชุ่มก็เพื่อทำให้เขารู้สึกตัวเท่านั้นเอง
และการบริกรรมคาถาก็เพื่อทำให้เรามีจิตใจแน่วแน่มีสติในการแก้ปัญหา ถ้าใจเรานิ่งคนอื่นก็เชื่อถือ นั่นคือพิธีกรรมที่เป็นกุศโลบาย ทั้งนี้อาจารย์มองว่าคนที่ถูกผีเข้าก็คือคนที่อุปทานไปเองหลอกตัวเองอยู่ แม้ผีจะออกไปแล้วก็ยังหลงอยู่ในอารมณ์นั้นอยู่จึงต้องตีเพื่อเรียกสติและราดน้ำเพื่อให้เค้ารู้สึกตัวนั่นเอง
ผีปอบเป็นเรื่องงมงายจริงหรือ..?
คือมันเป็นปัจจัตตังจะไปบังคับเขาให้เชื่อก็ไม่ได้ แต่จงจำไว้ว่าสิ่งที่ไร้เหตุผลแต่ครั้งก่อนมันเป็นเหตุผลของคนโบราณ การไร้เหตุผลแต่กาลก่อนอาจเป็นเหตุผลของคนโบราณคือพวกเขาตามหาเหตุผล ส่วนมากคนพุทธที่บอกว่างมงายนั่นคือเขาไม่เคยเจอ
แต่สิ่งพวกนี้มันเป็นปัจจัตตัง ซึ่งไม่ได้บังคับแต่ก็ไม่ได้อยากให้เชื่อ แต่ถึงแม้ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้จะไม่มีอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้สืบทอดกันมาแต่โบราณถ้าไม่มีจริงคงไม่สืบทอดกันมา ถ้าทำแล้วไม่ดีก็คงไม่มีใครทำต่อๆกันมา แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงก็อยากให้เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ชาวบ้านเขาซื้อความสบายใจเขา
ทำแล้วมีกำลังใจเราก็อย่าไปว่าเขาเลย อย่าเอาประเพณีต่างถิ่นมากล่าวว่าถิ่นนี้เป็นของงมงายมันไม่ดี เมื่อเขาเชื่อแบบนั้นและปลงใจเชื่อแล้ว ในฐานะที่เราเป็นฤๅษีเป็นผู้นำจิตวิญญาณเราจะทำยังไงให้ความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้นหันทิศทางเข้ามาในสิ่งที่ดีที่งาม
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราไม่สบายใจเราก็อยากทำบุญ พิธีกรรมนี้ก็เช่นกันเมื่อชาวบ้านไม่สบายใจก็ถือว่าเป็นการทำบุญหมู่บ้าน
สุดท้ายนี้อาจารย์ฤๅษีคัมภีร์ ได้ฝากเตือนสติคนที่ละโมบโลภมากหลงงมงายกับวัตถุว่า
คนโง่เท่านั้นที่ประดับร่างกาย แต่คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะประดับศีลธรรม ควรมีสติให้มากกว่าปัญญา เมื่อมีสติมากกว่าปัญญาแล้วปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย การยึดติดเป็นของมนุษย์อยู่แล้ว แต่การพัฒนาการของจิตให้ปล่อยวางต้องขึ้นอยู่ที่ตัวศีล เมื่อศีลสูงขึ้นไปก็จะปล่อยวางได้โดยอัตโนมัติ
ความเชื่อ กับ งมงาย เป็นแค่เส้นบางๆกั้นไว้หากเชื่อว่ามีอยู่จริงและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็จงเชื่ออย่างมีสติเพื่อความสบายใจ แต่หากเชื่ออย่างไร้เหตุผลโดยไม่ไตร่ตรองนั่นคืองมงาย ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือความเดือดร้อนของตนเองและผู้อื่น