พ่อแม่จีนบังคับให้ลูกชาย กระโจนใส่รถแกล้งถูกชนกว่า 20 รอบ
พ่อแม่ชาวจีนบังคับลูกชายวัย 14 ปี ให้กระโจนใส่รถแกล้งว่าถูกชน หวังเรียกร้องเงิน มากเกือบ 20 ครั้งในเวลา 1 ปี แม้กะโหลกศีรษะร้าวก็ยังไม่ยอมเลิก
สำนักข่าวประเทศจีนรายงานเรื่องราวชวนสลดของเด็กชายชาวจีนวัย 14 ปีคนหนึ่ง ในเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ถูกพ่อแม่แท้ๆ บังคับให้กระโจนใส่รถแกล้งว่าถูกชน เพื่อหวังเรียกร้องค่าเสียหาย
โดยภายในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เด็กชายถูกบังคับให้เสี่ยงตายมามากเกือบ 20 ครั้ง จนได้แผลถลอกทั่วตัว รวมทั้งกะโหลกศีรษะร้าว กระนั้นพ่อแม่ใจอำมหิตของเขาก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังคงบังคับให้ไปก่อเหตุอีก กระทั่งช่วงบ่ายวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา เด็กชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมไว้ ส่วนผู้เป็นพ่อวิ่งหลบหนีไปได้ขณะกำลังก่อเหตุหลอกลวงหวังเรียกเงินนั้น
โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวเด็กชายไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ ก่อนให้เด็กชายโทรศัพท์ติดต่อผู้เป็นพ่อบอกว่าไกล่เกลี่ยสำเร็จและต้องให้เขามาเซ็นเอกสาร ซึ่งพ่อของเด็กชายคิดว่างานนี้ก็ยังได้เงินแน่ๆ จึงรุดมาที่สถานีตำรวจอย่างกระหืดกระหอบด้วยความดีอกใจพร้อมกับภรรยา จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวไว้ได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากเหยื่อรายล่าสุดแล้วยังมีเหยื่อรายก่อนหน้าที่บังเอิญมาเห็นเหตุการณ์อย่างที่เคยโดนมาอยู่ที่สถานีตำรวจด้วยเช่นกัน
ทั้งสองสามีภรรยาบอกว่า ฝ่ายสามีแซ่หลัว อายุ 44 ปี ภรรยาแซ่หลิว อายุ 39 ปี เป็นชาวเมืองอี๋ปิน มณฑลเสฉวน มีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นลูกชายวัย 14 ปี กับลูกสาววัย 9 ปี ก่อเหตุหลอกลวงมาหลายพื้นที่ เรียกร้องเอาเงินมาได้ทั้งหมดมากกว่า 13,000 หยวน (ประมาณ 95,000 บาท) โดยบอกว่าฐานะครอบครัวยากจนมาก มีหนี้สิน ซ้ำลูกยังมีค่าเล่าเรียน จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว
เด็กชายเผยว่า ตนรู้สึกกลัวแต่ไม่ได้หนี เพราะหากหนีกลับถึงบ้านเขาจะถูกพ่อแม่ตบตี ดังนั้นจึงไม่หนีแม้ตามตัวจะมีแผลถลอกเต็มไม่หมดก็ตาม พร้อมเผยอีกว่าพ่อแม่เขาเหมือนติดเป็นนิสัย มักจะเรียกให้เขาไปแกล้งถูกรถชนอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้เขาไม่อยากทำแต่ก็ถูกพ่อแม่ดุด่าตบตีจนต้องยอม ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้เงินเพราะเหยื่อไม่ยอมให้
จนมีครั้งหนึ่งเขาหนีกลับบ้านเกิด แม่โทรศัพท์ได้ไปบอกจะไม่ตีและไม่ให้ทำแบบนั้นอีก แต่พอกลับมาก็ถูกบังคับเหมือนเดิม กระทั่งเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา เขาได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าวจากการก่อเหตุดังกล่าว พ่อแม่ก็ไม่ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาล เพียงแค่พาไปตรวจกับคลินิกเล็กๆ 2-3 ครั้งเท่านั้น ซ้ำยังบอกเขาอีกว่าถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ก่อเหตุได้หลายครั้งอีกด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาเด็กชายและน้องสาวไปทานข้าวในโรงอาหารของสถานีตำรวจ และเด็กชายเผยอีกว่าเขาเริ่มเรียนทำอาหารตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พออายุ 8 ขวบก็ทำข้าวผัดและอาหารง่ายๆ ได้ พออายุ 10 ขวบก็ซักผ้า ทำงานบ้านทุกอย่างเอง
อีกทั้งบอกกับเจ้าหน้าที่หลังถูกถามว่าต่อไปเขาอาจจะพาน้องสาวกลับบ้านไปอาศัยอยู่กับยายที่มณฑลเสฉวน พาเธอร่ำเรียนให้จบ ซึ่งค่าเล่าเรียนที่นั้นค่อยข้างถูก และเขาคิดว่าจะทำงานขุดหาสมุนไพรและจับกุ้งเครฟิชไปขายเพื่อหารายได้ด้วย ซึ่งคำตอบนี้เด็กชายพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกายสว่างพร่างพราว
กระนั้นเด็กชายก็ยังกังวล ถามเกี่ยวกับพ่อแม่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้ง สองจิตสองใจทั้งเป็นห่วงและไม่ห่วงพ่อแม่ อยากให้ทั้งคู่ถูกปล่อยตัวออกมาแต่ก็กลัวจะถูกทำร้ายตบตีอีก ทั้งยังบอกว่าไม่ได้โกรธเกลียดพ่อแม่ที่บีบบังคับให้ทำแบบนั้น “เวลาเสียใจ ผมก็ร้องไห้ออกมา พอผ่านมาสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
“แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยพูดความในใจให้คนอื่นฟัง ตอนอายุ 11 ปี พ่อแม่ตบตีผม ไม่รักไม่ชอบผม รักชอบแต่น้องสาว ผมเลยเขียนบันทึกลงในไดอารี่ครั้งหนึ่ง และนี่จะเป็นครั้งแรกครั้งเดียวที่ผมจะพูดให้คนอื่นฟัง”
อย่างไรก็ตาม หลินเสวี่ยน ผู้กำกับการสถานีตำรวจท้องถิ่นตำบลฝูหมิง กล่าวว่า จะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยเหลือเด็กทั้งสองคน ซึ่งเขาได้ติดต่อพูดคุยกับทางผู้อำนวยการของเด็กทั้งสองคนแล้ว
ขณะที่ชาวเน็ตก็ได้พากันแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของสองสามีภรรยาคู่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งให้กำลังใจเด็กชายและน้องสาวด้วย บ้างบอกว่าไม่ต้องปล่อยตัวออกมาหรอก, ปวดใจเลย ขนาดลูกฉันได้แผลมานิดเดียวยังเป็นห่วงอยู่หลายวัน, หวังว่าเด็กๆ จะเติบโตสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะ เป็นต้น
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ