ไขความจริง! น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตปริศนา

ไขความจริง! น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตปริศนา

ไขความจริง! น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตปริศนา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภาพความโศกเศร้าที่ถ่ายทอดลงบนใบหน้าของครอบครัว ตัญกาญจน์ สะท้อนถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันเป็นที่รักและความหวังของครอบครัวที่จะได้พึ่งพาอาศัยลูกชายเพียงคนเดียวในภายภาคหน้า แต่สุดท้ายแล้วความฝันกลับหลงเหลือเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า

พร้อมกับคำถามที่กลายเป็นปริศนาของสังคมถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1

ที่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือ ข้อกังขาถูกซ่อมจนร่างกายรับไม่ไหว ?

a6

หากไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่น่าแปลกใจที่ทางครอบครัวจะข้องใจการเสียชีวิตน้องเมย โดยวันที่ 17 ต.ค. 60 ทางครอบครัวได้รับแจ้งว่าน้องเมย หรือ นตท.ภคพงศ์ เสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 20.24 น. และเมื่อไปรับศพก็ได้รับเพียงใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายว่าเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โดยไม่ได้รับการชี้แจงรายละเอียดใดๆ  

จากนั้นทางครอบครัวจึงได้นำศพนายภคพงศ์ไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากไม่เชื่อว่าลูกชายที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัวใดๆ จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ แล้วก็พบข้อมูลที่น่าสนใจกลายเป็นข้อกังขาตามมาคือ อวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจและปอดหายไป

โดยที่ครอบครัวไม่ทราบเรื่อง กลายเป็นต้นเหตุของคำถามที่ว่าน้องเมยอาจเสียชีวิตเนื่องจากถูกรุ่นพี่ซ่อมหรือไม่

a4

ซึ่งในเวลาต่อมา พันโทนรุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า "ได้รับร่างคืนวันที่ 18 ต.ค.60 และลงมือชันสูตรตอนเช้า ไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอก ส่วนภายในพบว่ากระดูกซี่โครง ซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำชายโครงข้างขวาและซ้าย พบความผิดปกติเพียงเท่านี้

โดยกระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ส่วนรอยที่บริเวณชายโครง เกิดจากของแข็งไม่มีคมมากระแทก แต่ยังไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องการเกิดรอยระหว่างซีพีอาร์ช่วยชีวิต หรือ ประเด็นของแข็งอื่นกระแทกได้

ทั้งนี้การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงต้องเก็บอวัยวะในส่วนของ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้ทำสไลด์ เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติงาน และรายงานมีแนวโน้มไปทางหัวใจ จึงลงรายงานว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

ด้านหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้หลายสาเหตุ แต่มีการเก็บตัวอย่างพบว่า กายภาพของหัวใจปกติ แต่เมื่อส่องกล้องพบเซลล์บางตัว ที่ไม่ควรพบในเด็กๆ อายุ 19 ปี แต่อาจพบได้เมื่อหัวใจมีพยาธิสภาพผิดปกติ หากญาติต้องการอวัยวะคืนก็สามารถติดต่อเข้ามารับได้" พันโทนรุฏฐ์ กล่าว

a3

สอดคล้องกับคำชี้แจงของ พล.ต.ธารา พูนประชา ผอ.สถาบันพยาธิวิทยา ที่ได้เปิดเผยว่า "หัวใจของน้องเมย หรือ นตท.ภคพงศ์ นั้นมีความผิดปกติ โดยนิวเคลียสส่วนกลางโตผิดปกติ หรือ กล้ามเนื้อหัวใจโต

ด้านคำถามที่ว่าทำไมถึงไม่ขออนุญาตครอบครัวก่อนนำอวัยวะออกไปนั้น ขอชี้แจงว่าสำหรับเคสนี้เป็นการตายเหนือธรรมชาติอยู่ในกลุ่มของการตายโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งกฎหมายมีช่องไว้ว่าทางนิติเวชสามารถเก็บอวัยวะเอาไว้เพื่อตรวจสอบได้

ส่วนอาการภาวะปอดคั่งเลือดเกิดจากหัวใจหยุดเต้น ซึ่งมีหลายสาเหตุ แต่สำหรับเคสน้องเมยนั้น ทำไมปอดคั่งเลือดนั้น ขออธิบายว่าเป็นสภาวะของทุกคนที่เสียชีวิต ปอดจะคั่งเลือดหมดเป็นเพราะระบบไหลเวียนของเลือดจากหัวใจแล้วไปปอด จากปอดก็กลับมาหัวใจแล้วไปตามร่างกายส่วนต่างๆ

a2

แต่เนื่องจากหัวใจหยุดเต้น เลือดที่ถูกบีบไปที่ปอดก็ไม่กลับมาทำให้เลือดไปคั่งอยู่ในปอด คำว่าเลือดคั่งหมายถึงระบบการไหลเวียนของเลือดมันไม่มี จากประสบการณ์ที่ผมทำผ่าศพมาทุกเคสพบเลือดคั่งหมดทุกคน

แต่มีบางคนเลือดคั่งเข้าไปถึงในปอดแล้วก็ไอออกมาเป็นเลือด เพราะฉะนั้นเลือดคั่งเป็นสภาวะของคนไข้ที่ช็อคหรือหัวใจหยุดเต้นที่พบเจอได้เสมอ ผมไม่มีอะไรปกปิดทั้งสิ้นยินดีให้คำปรึกษา" พล.ต.ธารา กล่าวทิ้งท้าย

ถึงแม้ว่าข้อมูลชันสูตรเบื้องต้นจะพุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกันคือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้จนนำไปสู่การเสียชีวิตนั้นคืออะไรกันแน่

a1

ซึ่งทางพี่สาวน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต คือ น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า "ก่อนที่น้องเมยจะเสียน้องได้เดินทางกลับมาบ้านและน้องบาดเจ็บ โดยบอกกับทางครอบครัวว่า ตกบันไดจากชั้น 2 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ทางครอบครัวจึงพาไปหาหมอ ผลตรวจออกมาน้องก็มีร่างกายปกติ

ถัดมาอีกวันน้องเมยบอกกับครอบครัวว่าโดนธำรงวินัยโดยเอาศีรษะไปวางบนตะแกรงท่อน้ำทิ้ง จนสลบไปเพราะว่าทนไม่ไหว

ทั้งนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดตอนที่น้องเมยโทร.มาหาแม่จากโรงพยาบาลก่อนที่จะเสียชีวิตน้องได้พูดกับแม่ว่า “แม่ครับน้องเมยยังไม่หายป่วยเลย อย่าไปเชื่อผู้พันนะครับ” และก่อนจะวางสายน้องเมยพูดกับแม่ว่าอยากลาออก ทั้งๆที่น้องมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทหารตั้งแต่เด็กๆ

นั่นคือสิ่งที่ทางครอบครัวสงสัยว่าทำไมคนที่ร่างกายแข็งแรงมาก ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ที่สำคัญสอบพละพวกกายภาพร่างกายได้ 944 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1,000 ถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก เป็นไปไม่ได้ที่น้องจะอ่อนแอ"

a5

สอดคล้องกับข้อมูลของ นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรม เปิดเผยถึงกรณีท่าซ่อมมรณะคือ “หัวปักพื้น”ซึ่งนิยมใช้ลงโทษในหมู่ทหารว่า "ลักษณะท่าดังกล่าวศีรษะจะรับแรงกดมาก มีผลทำให้เลือดที่มาหล่อเลี้ยงสมองมีแรงกดดันมากขึ้น

อาจทำให้เกิดการฉีดขาดของเลือดในสมอง มีผลข้างเคียงคือปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง ตามัว เบลอเห็นภาพซ้อน อ่อนแรง บางรายอาจชักเกร็งได้ ขณะที่ผลกระทบอีกอย่างคือกระดูกคอหากรับน้ำหนักผิดปกติอาจทำให้เคลื่อน เส้นประสาทคอที่เลี้ยงกระบังลมจะมีผลต่อประสาทคอที่เชื่อมต่อกับกระบังลมมีผลให้หัวใจล้มเหลวได้

นอกจากนั้นยังมีผลกระทบต่ออวัยวะกลางลำตัว ตับ ไต ม้าม เนื่องจากมีเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยอาจทำให้เสื่อมได้ ยิ่งมีการยกขาสลับยิ่งเป็นอันตราย หากเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจด้วยแล้วอาจส่งผลไปถึงสภาวะของหัวใจด้วย"

ปริศนาของคดีนี้มีความเป็นได้หลายอย่าง และเงื่อนงำที่เกิดขึ้นคงต้องหาทางพิสูจน์กันต่อไป แต่ถึงแม้ว่าความจริงจะออกมาในรูปแบบใด ก็ไม่อาจทดแทนความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ตัญกาญจน์ ได้เป็นแน่

และสิ่งเดียวที่พวกเขาร้องขอคือความยุติธรรมที่อยากให้เกิดขึ้นในสังคมไทย “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด” คำร้องที่กรีดใจแม่ทุกครั้ง เพราะนั่นคือคติพจน์ของน้องเมย ลูกผู้ชายชาติทหาร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook