ประมวลเหตุการณ์ช็อกโลกที่สุดแห่งปี 2560
365 วันของปี 2560 กำลังจะหมดไป นานาประเทศมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น แต่จะมีเรื่องไหนบ้างที่น่าสนใจ ทีมข่าว Sanook! News ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปี
1. ท่านผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ ทดสอบขีปนาวุธ หรืออาวุธนิวเคลียร์ ตลอดทั้งปี
เริ่มร้อนระอุตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อเกาหลีเหนือประกาศพร้อมทำสงคราม ด้วยขีปนาวุธ และอาวุธนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯ จะโจมตี จนวันที่ 1 พฤษภาคม เกาหลีเหนือประกาศยืนยันจะทดลองขีปนาวุธ หรืออาวุธนิวเคลียร์ต่อ โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากนานาประเทศ แต่จะทำที่ไหน เมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับท่านผู้นำประเทศ อย่างนายคิม จองอึน
แล้วในวันที่ 14 พ.ค. เกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธได้สูงกว่าทุกครั้ง จนไปตกในทะเลของญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้ออกมาประณามว่าเป็นการละเมิดกฎข้อบังคับของสหประชาชาติ และเป็นภัยคุกคามความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่เกาหลีเหนือก็ยังคงทดสอบขีปนาวุธอยู่เรื่อยๆ
ด้านสหรัฐฯกล่าวว่า การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ไปตกใกล้รัสเซียมากกว่าญี่ปุ่น เพื่อเรียกร้องขอความร่วมมือจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ระยะทางที่ยิงขีปนาวุธครั้งนี้อยู่ในพิสัยคุกคามดินแดนการปกครองของสหรัฐฯ อย่างเกาะกวม ซึ่งเป็นฐานทัพสำคัญของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ ที่ตั้งอยู่ห่างจากเกาหลีเหนือ 3,400 กม.
gettyimages
กระทั่งเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมานายคิม จองอึน ประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธ และยังประกาศกร้าวว่าต่อไปนี้ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือสามารถโจมตีที่ใดบนโลกก็ได้ ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติเป็นเอกฉันท์ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นการตัดรายได้ 1 ใน 3 ของเกาหลีเหนือด้วย
และเมื่อปลายเดือนสิงหาคม เป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ข้ามน่านฟ้าเกาะฮอกไกโด ของญี่ปุ่น ก่อนตกลงสู่ท้องทะเล ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังไปทั่วเมือง สร้างความตกใจให้ประชาชนเป็นอย่างมาก
การยิงครั้งนี้ เป็นการยิงออกจากฐานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ สามารถทำระยะได้ถึง 2,700 กม. ที่ระดับความสูง 550 กม. และหลังจากนั้นเกาหลีเหนือยังคงทดสอบการยิงขีปนาวุธข้ามประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการตอบโต้ที่กองทัพเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ซ้อมรบประจำปีร่วมกัน
ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เกาหลีเหนือประกาศประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบในการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์จนสามารถนำไปติดตั้งบนขีปนาวุธข้ามทวีปได้แล้ว แต่ทุกประเทศทั่วโลกยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าเกาหลีเหนือใกล้บรรลุเป้าหมายขนาดไหนในการพัฒนา ทำให้เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาญี่ปุ่นเผยว่า กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น จะซื้อขีปนาวุธต่อต้านแบบยิงจากอากาศสู่ภาคพื้นดินเพิ่มเติม โดยจะคำนึงถึงประสิทธิภาพในการยิงให้ไกลถึงเกาหลีเหนือด้วย
ด้านประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญกับเกาหลีเหนือ ตลอดปีที่ผ่านมามีจุดยืนให้มีการเจรจาสันติภาพ ทั้งยังส่งสัญญาณว่ายินดีเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของสหรัฐฯ ด้วย
2. เจ้าชายแฮร์รี่ ทรงหมั้น กับเมแกน มาร์เคิล นักแสดงสาวชาวอเมริกัน และกำหนดอภิเษกฯปีหน้า
gettyimages
เป็นเรื่องที่น่าแสดงความยินดี แต่ก็สร้างความช็อกให้กับสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วโลก เมื่อพระตำหนักคลาเรนซ์เฮาส์ของสหราชอาณาจักร ออกแถลงการณ์ว่า เจ้าชายเฮนรี ชาลส์ อัลเบิร์ต เดวิด แห่งเวลส์ หรือ เจ้าชายแฮร์รี่ แห่งราชวงศ์อังกฤษทรงหมั้นกับนางสาวเมแกน มาร์เคิล นักแสดงสาวชาวอเมริกัน โดยทั้งคู่ได้หมั้นกันในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และมีกำหนดวันอภิเษกสมรสในวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2561 จากนั้นจะทรงประทับร่วมกันที่พระราชวังเคนซิงตัน
สำหรับแหวนเพชรหมั้นนั้นเป็นแหวนเพชร3 เม็ดเรียง ตรงกลางเป็นเพชรจากบอตสวานา ซึ่งสำนักพระราชวังเคนซิงตัน ระบุุว่า ประเทศนี้เป็นสถานที่ที่พิเศษของทั้งสอง ล้อมด้วยเพชร 2 เม็ด ซึ่งเป็นของสะสมส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงไดแอนาผู้ล่วงลับพระมารดาของเจ้าชายแฮร์รี โดยแหวนหมั้นวงนี้เจ้าชายแฮร์รี ทรงออกแบบเอง
ทั้งนี้แถลงการณ์ยังระบุว่าเจ้าชายแฮร์รี่ได้ถวายรายงานข่าวดีแก่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษ พร้อมทั้งยังได้พบและได้รับการถวายพระพรจากพ่อแม่ของพระคู่หมั้นด้วย สำหรับ เมแกน มาร์เคิล มีผลงานการแสดงที่โด่งดัง เช่น ซีรีส์ Suits, ภาพยนตร์เรื่อง Remember Me จากนี้...มีเราตลอดไป, Horrible Bosses รวมหัวสอย เจ้านายจอมแสบ
3. เหตุกราดยิงที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา
gettyimages
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา เกิดเหตุกราดยิงกลางงานคอนเสิร์ต Route 91 Harvest บริเวณโรงแรม Mandalay Bay Las Vegas กลางนครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ขณะที่นักร้องกำลังร้องเพลงอยู่นั้น มีเสียงปืนดังรัวขึ้น สร้างความสับสนให้กับผู้เข้าร่วมงานว่าเป็นโชว์พิเศษหรือไม่ แต่เมื่อการแสดงหยุดลงอย่างกะทันหัน และยังมีเสียงปืนดังอยู่ ผู้คนก็เริ่มวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่าน
โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 58 คน และบาดเจ็บอีก 515 คน ถือเป็นการสังหารหมู่โดยมือปืนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิสามัญฆาตกรรมนายสตีเฟน แพดด็อก ชาวเนวาดา ที่เข้าพักที่โรงแรมแมนดะเลย์ เบย์ และกราดยิงจากห้องพักบนชั้น 32 มายังเทศกาลดนตรีที่มีผู้ชมกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งจากการตรวจค้นบ้านพักของนายแพดด็อก พบอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุน และสารประกอบระเบิด ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า นายแพดด็อกไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย จึงเชื่อว่าเป็นการลงมือเพียงลำพัง
4. วิกฤตโรฮิงญา ในเมียนมา
gettyimages
ยังไม่มีความชัดเจนว่าสถานการณ์ที่รัฐยะไข่ ในเมียนมา เกิดจากฝ่ายทหาร หรือมีกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา แต่ภาพที่เห็นผ่านโลกโซเชียลนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย และภาพการหนีตายของชาวโรฮิงญาไปยังบังกลาเทศ โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR เผยแพร่ภาพถ่ายทางอากาศ เป็นภาพชาวมุสลิมโรฮิงญานับพันคนในบังกลาเทศ หลังเดินทางข้ามแม่น้ำนาฟ มาจากฝั่งเมียนมาในช่วงเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีชาวโรฮิงญาจำนวน 536,000 คน หนีตายจากความรุนแรง และการเผาที่อยู่อาศัยในรัฐยะไข่ มาที่บังกลาเทศแล้ว
ซึ่งจากความไม่จริงจัง และไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาเมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มีมติถอดถอนประกาศเชิดชูเกียรติของนางออง ซาน ซูจี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดีเมียนมา ที่มอบให้เมื่อปี 2540 ในฐานะบุคคลที่เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ไม่เคยย่อท้อ เพราะท่าทีที่นิ่งเฉยต่อการแก้ปัญหาของกลุ่มชาวโรฮิงญา เป็นการทำลายและขัดต่อธรรมเนียมและเจตนารมณ์ของรางวัล ที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจแก่เพื่อนมนุษย์
ทั้งยังปลดภาพนางซูจีออกจากวิทยาลัยเซนต์ฮิวจ์ ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางซูจีจบการศึกษา ขณะที่ บ๊อบ เกลดอฟ นักร้อง และนักเคลื่อนไหวชาวไอร์แลนด์ ได้คืนรางวัลเกียรติยศเสรีภาพแห่งกรุงดับลิน เพราะไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับนางซูจีด้วย
5. ฮอลลีวูด ฉาว นักแสดงตบเท้า แฉ ผู้อำนวยการสร้างหนังล่วงละเมิดทางเพศ
เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังแห่งฮอลลีวูด วัย 65 ปี ถูกไล่ออกจาก Weinstein Company สตูดิโอผลิตหนังของตนเอง หลังมีรายงานว่าเขาก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวที่ร่วมงานตลอด 30 ปี โดยหลังจากที่เขาถูกไล่ออก มีนักแสดงชื่อดัง และพนักงานหลายคนออกมาเปิดเผยเรื่องของเขา เช่น นักแสดงสาว แอชลีย์ จัดด์ ออกมาเปิดเผยว่าเคยได้รับข้อความจากไวน์สตีน ให้ไปพบที่โรงแรม เธอคิดว่าเขาจะคุยเรื่องงาน แต่เมื่อไปถึงเขากลับให้ไปดูเขาอาบน้ำ และขอให้นวดให้เขา
gettyimages
ขณะที่ แองเจลินา โจลี นักแสดงสาวมากฝีมือแห่งฮอลลีวูด ออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าวนิวยอร์ก ไทม์ ว่าไวน์สตีน พยายามจะเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวเธอภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เธอขัดขืนเขาจึงถอยออกไป หลังจากนั้นเธอไม่เคยร่วมงานกับเขาอีกเลย
ด้านกวินเน็ธ พัลโทรว์ นักแสดงหญิงชื่อดัง ก็ออกมาเปิดเผยว่า ระหว่างคัดตัวนักแสดงนำภาพยนตร์เรื่องเอมมา ไวน์สตีนเรียกเธอไปพบในโรงแรมจากนั้นได้วางมือลงบนตัวเธอ และชวนไปนวดในห้องน้ำด้วยกัน แต่เธอรีบผละออกมา หลังจากนั้นเธอเล่าให้ แบรด พิตต์ แฟนหนุ่มในขณะนั้นฟัง ทำให้ฝ่ายชายเกือบจะมีเรื่องกับไวน์สตีน
แต่ที่เลวร้ายที่สุดน่าจะเป็นกรณีของ อาเซีย อาร์เจนโต ดาราสาวชาวอิตาเลียน ที่ระบุว่าเธอถูกไวน์สตีนข่มขืน เขาหลอกเธอไปงานปาร์ตี้ที่โรงแรมของเขา แล้วบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ ขณะที่ตอนนั้นเธอมีอายุ 21 ปี และเหตุการณ์นั้นยังหลอกหลอนเธอมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่เหยื่อรายอื่นมักถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์แลกกับความช่วยเหลือเรื่องงาน และยังมีอีก 2 คนที่กล่าวว่าถูกไวน์สตีนข่มขืน ทั้งนี้มีพนักงานและอดีตพนักงานในบริษัทที่เขาทำงานอีก 16 คนระบุว่า เคยเห็นหรือทราบเกี่ยวกับพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศของเขา
โดยไวน์สตีน ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ผมเพิ่งตระหนักว่าวิธีการแสดงออกของผมในอดีตต่อผู้ร่วมงานหญิงนั้น เป็นเหตุให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด ผมต้องขอโทษอย่างยิ่งต่อเรื่องดังกล่าว ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แม้รู้ว่าผมต้องใช้เวลาอีกนานก็ตาม” ทั้งนี้ทนายของเขาเจรจาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ได้มีการจ่ายเงินให้ผู้หญิงอย่างน้อย 8 รายเพื่อปิดปากพวกเธอ
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเรื่องที่คนในฮอลลีวูดให้ความสนใจว่าจะจบอย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมาหลายคนมองว่าฮอลลีวูดเป็นอุตสาหกรรมที่ปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรม
และยังทำให้เกิดกระแส #MeToo ในสเตตัสทั่วโลกโซเชียล เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีหลายคนเล่าเรื่องเศร้าที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองให้สังคมทราบ ทั้งผู้หญิง และกลุ่มชายรักร่วมเพศ
6. ซาอุฯ จับกุมเจ้าชาย เชื้อพระวงศ์ รัฐมนตรี นักธุรกิจ และผู้มีอิทธิพลกว่า 40 คน เพื่อแก้คอรัปชั่น
gettyimages
คณะกรรมการต่อต้านการคอร์รัปชั่นของซาอุดิอาระเบีย ที่จัดตั้งโดยพระบรมราชโองการของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน วัย 81 ชันษา และมีองค์มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ในวัย 32 ชันษา เป็นประธาน เข้าควบคุมตัวเจ้าชาย 11 พระองค์ และรัฐมนตรี 4 คน รวมถึงอดีตรัฐมนตรีรวมประมาณ 40 คน
เพื่อสอบสวนกรณีทุจริตเหตุการณ์น้ำท่วมนครเจดดาห์เมื่อปี 2009 และกรณีเชื้อไวรัสโรคเมอร์สระบาดเมื่อปี 2012 และยังปลดเจ้าชายมีเต็บ บิน อับดุลลาห์ ผู้เคยได้รับพิจารณาให้เป็นผู้สืบสันตติวงศ์พระองค์หนึ่ง ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ทั้งนี้คาดว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการกุมอำนาจขององค์มกุฎราชกุมาร เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นสมัยใหม่ ภายใต้แนวทางมุสลิมสายกลาง
นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรมและสารสนเทศแห่งซาอุดีอาระเบียออกแถลงการณ์ลงวันที่ 11 ธ.ค. ระบุคำสั่งห้ามประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ภายในประเทศจะถูกยกเลิกในเดือน มี.ค. 2018 ตามนโยบายปฏิรูปสังคมและวัฒนธรรมของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทำให้โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดกิจการได้เป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี
gettyimages
และล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมากลุ่มกบฏ ได้ยิงขีปนาวุธมุ่งเป้าโจมตีกรุงริยาด แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหาย ทั้งนี้สถานีโทรทัศน์อัล-มาสิราห์ ของกลุ่มกบฏฮูธีในเยเมน รายงานว่ากลุ่มกบฏมุ่งเป้ายิงขีปนาวุธไปยังพระราชววัง เพื่อลอบสังหารสมเด็จพระราชา
อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวว่ากษัตริย์ เตรียมสละบัลลังก์ และจะสถาปนาเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ขึ้นเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในเร็ววันนี้
7. คนร้ายสวมชุดซานตาคลอสใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้คน
เกิดเหตุคนร้ายสวมชุดซานตาคลอสใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้คนที่ด้านหน้าของไนท์คลับไรนา ริมแม่น้ำ ย่านออร์ทาคอย เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งขณะเกิดเหตุมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเฉลิมฉลองวันปีใหม่ภายในไนท์คลับเป็นจำนวนมากกว่า 700 คน ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 39 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 69 คน โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
เหตุการณ์นี้คนร้ายใช้เวลาโจมตีประมาณ 7 นาที ยิงปืนไปราว 120-180 นัด ซึ่งคนร้ายพูดภาษาอาระบิกและคาดว่าน่าจะมีอย่างน้อย 2 คน หลังจากก่อเหตุยิงอย่างเลือดเย็นคนร้ายก็หลบหนีไปอย่างลอยนวล สร้างความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง
8. คนร้ายขับรถยนต์พุ่งชนผู้คนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์
เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกอีกครั้งเมื่อคนร้ายขับรถยนต์พุ่งชนผู้คนตั้งแต่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 40 คน ก่อนที่จะขับรถพุ่งชนรั้วกั้นด้านนอกอาคารรัฐสภาและวิ่งเข้าไปแทงตำรวจเสียชีวิต 1 นาย หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกวิสามัญเสียชีวิต
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทางตำรวจนครบาลลอนดอนแถลงการณ์ว่าเป็นการโจมตีของพวกก่อการร้าย โดยลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายเลือกขับรถพุ่งชนผู้คนบนสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ เนื่องจากว่าสะพานแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังและเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน จากนั้นพอข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็คือ Westminster Palace อาคารรัฐสภาอังกฤษ