แกะรอยคดีดัง ซับซ้อนซ่อนปมแห่งปี 2560 ตอน 1

แกะรอยคดีดัง ซับซ้อนซ่อนปมแห่งปี 2560 ตอน 1

แกะรอยคดีดัง ซับซ้อนซ่อนปมแห่งปี 2560  ตอน 1
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

1.  คดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม

25 พ.ค. 60 เกิดเรื่องสะเทือนขวัญเมื่อชาวบ้านพบศพสาวนิรนามถูกฆ่าหั่นศพ เป็น 2 ท่อน ฝังอยู่ใต้ดิน ที่ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ตำรวจสืบทราบว่าเป็นร่างของ น้องแอ๋ม หรือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย อายุ 22 ปี สาวร้านคาราโอเกะชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น

ตำรวจออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาย 1 คน คือนายวศิน นามพรม อายุ 22 ปี หญิง 3 คน คือ น.ส.จิดารัตน์ หรือเบนซ์ อายุ 21 ปี, น.ส. ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว อายุ 24 ปี และ น.ส. กวิตา ราชดา หรือเอิร์น อายุ 25 ปี ในข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ โดยทราบภายหลังว่าทำการหั่นศพที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น

912737

จากนั้นตำรวจทยอยจับผู้ต้องหาได้ เหลือ เปรี้ยว เอิร์น แจ้ ที่เจ้าหน้าที่ไปรับกลางสะพานข้ามด่านพรมแดน ไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 ณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ตอน 21.15 น. ก่อนเดินทางมากรุงเทพฯ และมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้นำสอบสวนด้วยตนเอง

หลังสอบปากคำมีการแถลงว่า ทั้ง 3 คนเป็นผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพ น้องแอ๋ม โดยตั้ง 3 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันฆ่า 2.อำพรางศพ 3.ปล้นทรัพย์ ทั้งนี้ยังเปิดเผยว่าเมื่อปีที่แล้วน้องแอ๋มถูกจับ แล้วให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนขยายผลมาถึง เปรี้ยว ทำให้ครั้งนี้เปรี้ยวตั้งใจจะสั่งสอน แต่กลับพลั้งมือจนน้องแอ๋มเสียชีวิต ทั้ง 3 คนรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ยืนยันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่มีเรื่องยาเสพติดข้ามชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ จ.ขอนแก่น เท่านั้น

และเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา เปรี้ยว และพวกปฏิเสธในศาลว่าไม่ได้ฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม แต่ยอมรับว่าทำร้ายร่างกาย และเอาศพไปซ่อนเร้น กระทั่ง 19 ก.ย. ศาลขอนแก่นได้ทำการตรวจพยานหลักฐานจากฝ่ายจำเลยและโจทก์ ในขั้นตอนต่อไปศาลจะสอบพยานทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 61 แล้วจะเข้าสู่กระบวนการที่ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป

482216

2. ระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ

ช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านเกิดเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงเทพฯ แต่ที่ทำให้หลายฝ่ายออกมาประณามอย่างหนัก คือเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 60 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ชั้น 1 ห้องวงษ์สุวรรณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 25 คน ในนั้นเป็นทหาร 15 ราย พลเรือน 10 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยในวันเกิดเหตุเป็นวันครบรอบ 3 ปี การรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับอนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ 30 ชั่วโมง พบว่าเป็นระเบิดไปป์บอมบ์แรงดันต่ำ มีตะปูและเศษเหล็กเป็นสะเก็ดระเบิด ซ่อนอยู่ในแจกัน มีดอกไม้ปลอมสีส้มพรางไว้ นำมาติดอยู่ข้างกำแพงในห้องที่เกิดเหตุ

148061

จนกระทั่งวันที่ 15 มิ.ย. เจ้าหน้าที่รวบตัวนายวัฒนา ภุมเรศ วัย 62 ปี อดีตวิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หลังตรวจค้นบ้านพักนายวัฒนา พบวัตถุประกอบระเบิดหลายรายการ ทั้งยังพบของสะสมเป็นรูปของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลพิพากษาให้นายวัฒนา จำคุกตลอดชีวิต ในความผิดฐานกระทำการให้เกิดการระเบิด ทำให้ผู้อื่นเป็นอันตรายสาหัส และจำคุก 3 ปี ในความผิดฐานประกอบวัตถุระเบิด และจำคุก 1 ปี ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 1,000 บาท ในความผิดฐานพกพาระเบิดไปในที่สาธารณะ แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ในทุกฐานความผิด คงเหลือโทษจำคุก 26 ปี 12 เดือน และปรับ 500 บาท

171821

ทั้งนี้ นายวัฒนา ก่อเหตุระเบิด 6 จุดในปี 2550 และปี 2560 ได้แก่ เหตุระเบิดตรงข้ามโรงภาพยนตร์เมเจอร์รัชโยธิน เหตุระเบิดที่ปากซอยราชวิถี 24 เหตุระเบิดที่ บก.ทบ. เหตุระเบิดหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า วันที่ 5 เม.ย. 2560 ระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ วันที่ 15 พ.ค. 2560 และระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2560  

3. นักศึกษาแพทย์วางยาสุนัข หลอกเอาเงินประกัน

สะเทือนอารมณ์คนรักสัตว์เป็นอย่างมาก เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวผ่านโลกโซเชียลว่า นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 6 นายภัทรพงศ์ ทรงทรัพย์กุล อายุ 24 ปี วางยาฆ่าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน (เจ้าซีซ่า) อายุ 7 เดือน ของตนเองตายระหว่างขนส่ง เพื่อเรียกร้องเงินประกัน 5 หมื่นบาท จากบริษัทขนส่งที่จ้างให้ไปส่งสุนัขที่โรงพยาบาลรักษาสัตว์แห่งหนึ่งที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 4 ก.ย. 60

เรื่องมาแดงเมื่อสัตวแพทย์ผ่าพิสูจน์ พบยากว่า 12 เม็ดในกระเพาะอาหาร และพบยาตกในกระเป๋าใส่สุนัข 1 เม็ด หลังเกิดเหตุสำนักงานปศุสัตว์ จ.นครราชสีมา จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ให้ดำเนินคดีกับเจ้าของสุนัขข้อหาทารุณกรรมสัตว์

347763

กระทั่งเมื่อค่ำวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมาญาติได้พานักศึกษาแพทย์มาพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.โพธิ์กลาง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ทำบันทึกประวัติอาชญากรรม แล้วปล่อยตัวกลับ โดยนักศึกษาแพทย์ไม่ยอมให้การใดๆ ไม่รับสารภาพและไม่ปฏิเสธ แต่ขอให้การในชั้นศาล ซึ่งถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหา

แต่ที่ช็อกหนัก เพราะหลังเหตุการณ์ถูกเปิดเผย มีผู้เสียหายรายอื่นออกมาเล่าพฤติกรรมของนักศึกษาแพทย์คนนี้อีก ทำให้มีการแจ้งความเพิ่มเติมที่ สน.สุทธิสาร

รวมถึงร้านขายสุนัขยังออกมาเปิดเผยว่านักศึกษาแพทย์คนดังกล่าวซื้อสุนัขไป 2 ตัวในราคาตัวละ 6,500 บาท แต่โอนเงินมาให้ที่ร้าน 50,000 บาท แล้วขอให้ทางร้านออกใบเสร็จราคา 50,000 บาท โดยอ้างว่าจะได้ไปบอกแฟนว่าซื้อสุนัขที่ดีที่สุดให้ แล้วให้ทางร้านโอนเงินส่วนต่างคืนมา

148061_1

หนักไปกว่านั้นโรงแรมที่นักศึกษาแพทย์ไปพักอยู่กับเจ้าซีซ่า ก่อนเกิดเหตุก็ออกมาเล่าถึงพฤติกรรม และสภาพห้องพักที่เต็มไปด้วยอ้วกและฉี่ของสุนัข อีกทั้งกล้องวงจรปิดของโรงแรมแสดงภาพนักศึกษาแพทย์ทำสุนัขร่วง ทำให้เห็นว่าสุนัขไม่มีอาการติดเจ้าของ กลับทำท่าเหมือนจะหนี

สืบไปสืบมายังทราบอีกว่านักศึกษาแพทย์ ปลอมแปลงเอกสารวินิจฉัยของสัตวแพทย์ ล่าสุด 30 ต.ค. เครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านการค้าสัตว์ข้ามชาติ และการทารุณกรรม หรือ Watchdog Thailand (WDT) ได้ให้ตัวแทนนำเอกสารใบวินิจฉัยของสัตว์แพทย์ที่เป็นเอกสารตัวจริง และเอกสารปลอมในคดีนี้ ไปมอบให้พนักงานสอบสวน เพื่อให้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาปลอมแปลงเอกสารเพิ่ม

4. ครูจอมทรัพย์ กับขบวนการสร้างหลักฐานเท็จ

นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือครูจอมทรัพย์ ติดคุก 1 ปี 2 เดือน เพราะขับรถชนแล้วหนี จนทำให้คนเสียชีวิต ที่ จ.นครพนม ครูจอมทรัพย์เข้าไปรับโทษจนครบ แต่เมื่อพ้นโทษครูจอมทรัพย์กลับขอรื้อคดี บอกว่าตนเองเป็นแพะ ทั้งนี้ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นแพะจริงจะได้รับเงินเดือนชดเชยในช่วงที่ติดคุก และจะได้รับสวัสดิการครูคืน

341247

ต่อมานายสับ วาปี มารับสารภาพว่าเป็นคนชนเองไม่ใช่ครูจอมทรัพย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จึงรับเป็นคดีพิเศษ จากนั้นเรื่องใหญ่ขึ้น นายสับจึงกลับคำให้การ บอกเจ้าหน้าที่ว่าครูจอมทรัพย์จ้างมาให้รับสารภาพ โดยให้เงินว่าจ้างประมาณ 3 แสนบาท แต่ครูทยอยจ่ายยังไม่ครบ ทั้งยังบอกอีกว่า เพื่อนสนิทของครูจอมทรัพย์ คือนายสุริยา นวลเจริญ หรือ ครูอ๋อง เป็นหลักในการจ้างวานครั้งนี้

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจกับคดีนี้ สุดท้ายช่วงเดือนธันวาคม ตำรวจภูธร จ.นครพนม มีหมายเรียก 13 คน และดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาอีก 8 ราย โดยครูจอมทรัพย์ และครูอ๋อง ผู้ตั้งขบวนการนี้ อยู่ระหว่างฝากขังในเรือนจำ รอการพิจารณา โดยศาลไม่ให้ประกันตัว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่คาดว่าภายในปีนี้จะดำเนินคดีให้แล้วเสร็จ

>>>อ่านต่อตอน 2 แกะรอยคดีดัง ซับซ้อนซ่อนปมแห่งปี 2560 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook