ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต คดีพ่อแท้ๆ สั่งอุ้มฆ่าหนุ่มนักเรียนนอก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (31 ม.ค.) ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้อ่านคำพิพากษา คดีดำที่ อาญา 2852/2559 และคดีแดงที่ 384/2561 ของนายภาสพล หรือ เสี่ยตุ้ม อายุ 48 ปี นักธุรกิจหนุ่ม ซึ่งถูกฆาตกรรม โดยคนร้ายลวงและอุ้มจากบ้านที่กรุงเทพฯ ก่อนนำมายิงทิ้ง ริมถนนทางขึ้นเขาภูพาน ใกล้กับผาเสวย ตำบลแก้งกระอาม อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2559

การติดตามจับกุมตัวคนร้ายคดีนี้ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน จนสามารถติดตามจับกุมตัว คนร้ายได้ทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วยจำเลยที่ 1.นายสิทธิ์คมน์ หรือ มนูญ อดีตนายทหารยศพันเอก จำเลยที่ 2.นายกิตติภพ หรือ เฉลา อดีตนายทหาร ยศร้อยเอก จำเลยที่ 3.นายนำชัย หรือ นุต จำเลยที่ 4.นายกอง หรือ วิรัช พ่อของผู้ตาย จำเลยที่ 5.นายกันต์ธร หรือ แสง และ จำเลยที่ 6. จ.ส.ต.ชูชัย

คดีนี้ศาลได้สืบพยานโดยเฉพาะพยานบุคคล 45 ปาก ปรากฏจำเลยที่ 5 คือ นายกันต์ธร ให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 6 คือ จ.ส.ต.ชูชัย มีพฤติกรรมเพียงกักขังหน่วงเหนี่ยว และ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ให้การซัดทอด ไปยังจำเลยที่ 4 คือ นายกอง หรือ วิรัช ซึ่งเป็นพ่อของผู้ตาย ว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ฆ่าลูกของตัวเอง

ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้อ่านคำพิพากษาตัดสินจำคุก จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ให้จำคุกตลอดชีวิต โดยมีฐานความผิด ใช้และร่วมกันกระทำความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือจำยอมใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย, กักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย,ใช้และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันมีและใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในที่ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร, สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงานโดยผิดกฎหมายและแต่งเครื่องแบบทหารโดยผิดกฎหมาย

ส่วนจำเลยที่ 5 คือ นายกันต์ธร หรือ แสง ให้การรับสารภาพ ศาลลดโทษเหลือจำคุก 31 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 6 คือ จ.ส.ต.ชูชัย โทษกักขังหน่วงเหนี่ยวจำคุก 2 ปี

สำหรับคดีนี้ ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญในรอบปี 2559 ซึ่งเป็นการพบศพชายปริศนา และสืบทราบว่าผู้ตายคือนายภาสพล หรือ เสี่ยตุ้ม อายุ 48 ปี นักธุรกิจหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทธุรกิจโรงพิมพ์ขนาดใหญ่

จนมาสู่การติดตามจับกุมตัวคนร้ายและให้การซัดทอดว่าผู้ที่จ้างวานให้ฆ่านั้นคือ นายกอง หรือ วิรัช พ่อของผู้ตาย เนื่องจากไม่พอใจที่ลูกชายที่ทวงเงินส่วนต่างจากการขายที่ดินในการทำธุรกิจนั่นเอง