ชิต สายเบิร์น เข่าทรุดโดน 7 ข้อหาหนัก ฉุดขืนใจนักศึกษาสาว
ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหาหนัก พร้อมเพิ่มอีก 3 กระทง "ชิต สายเบิร์น" ฉุดนักศึกษาสาวขืนใจอย่างโหดเหี้ยม นำตัวทำแผนเพิ่มเติม ชาวบ้านรุมสวดยับ
ความคืบหน้ากรณี นายทิษณุ หรือ ชิต สายเบิร์น อายุ 29 ปี ก่อเหตุคดีพยามฆ่าและข่มขืนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยใน จ.กาฬสินธุ์ ได้ขอเข้ามอบตัวกับตำรวจเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) พร้อมกับให้การรับสารภาพและถูกนำตัวไปชี้จุดที่ก่อเหตุ กระทั่งถึงจุดที่ปล่อยเหยื่อสาวทิ้งเอาไว้บนเขาภูพาน
ล่าสุดในวันนี้ (17 ก.พ.) พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.โสภณ วารี รองผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทยพุทธา รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ณัฏฐ์ภาณพ วัชระเสวี ผกก.สภ.นามน พ.ต.อ.ธีรพัฒน์ ธารีไทย ผกก.สส.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.ท.กฤษดา ขันโสดา รอง ผกก.สืบสวน สภ.นามน นายชนิพนธ์ สงวนสัตย์ นายอำเภอนามน พร้อมตำรวจชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่สายตรวจ และกำลังทหารคุมตัวนายทิษณุ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเพิ่มเติม
โดยเริ่มตั้งแต่บริเวณสามแยกทางเข้ามหาวิทยาลัย หลังจากเมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่คุมไปไปชี้จุดและทำแผนตามเส้นทางถนนตั้งแต่อำเภอสมเด็จไปจนถึง จ.สกลนคร ระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร ที่คนร้ายฉุดนักศึกษาขึ้นรถแล้วขับไปตามถนนสายดังกล่าว โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 100 นายคอยคุ้มกันความปลอดภัยท่ามกลางเพื่อนนักศึกษา และชาวบ้านที่มุ่งดูเหตุการณ์ และต่างตะโกนสาปแช่งในการก่อเหตุในครั้งนี้
โดยการทำแผนดังกล่าวเป็นไปตามคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเริ่มตั้งแต่บริเวณสามแยกทางเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นจุดที่นายทิษณุขับรถยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ หลังจากเสพยาบ้ามาแล้ว พร้อมกับดื่มสุรามาในรถ เพื่อตะเวนหาเหยื่อหมายจะฉุดไปข่มขืน
กระทั่งมาพบ 2 นักศึกษาชายและหญิงที่ขี่รถจักรยานยนต์ออกมาจากปั้มน้ำมัน จึงขับตามพยายามปาดหน้าที่บริเวณหน้าฝรั่งรีสอร์ทแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากทั้ง 2 คน พยายามขี่รถหนี จนกระทั่งตามไปถึงบริเวณถนนสายโนนสำราญ-หนองน้อย หน้าวัดอรัญญิกาวาส หรือวัดบ้านหนองโพนสูง หมู่ที่ 13 ต.ยอดแกง อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ได้ขัดปาดหน้าจนรถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วลงไปยิงหน้านักศึกษาชาย แล้วฉุดนักศึกษาสาวขึ้นรถไปข่มขืน
ทั้งนี้ นายทิษณุ ได้รับสารภาพว่า มีอาชีพรับจ้างกรีดยางพาราและขับรถส่งก้อนยางพารา ซึ่งก่อนเกิดเหตุได้ทะเลาะกับภรรยาเรื่องปัญหาครอบครัว จึงเสพยาบ้า พร้อมกับดื่มเหล้าขาวมาในรถจนเมาได้ที่ จากนั้นจึงขับรถออกไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อตะเวนหาเหยื่อที่จะฉุดไปข่มขืน เริ่มตั้งแต่ อ.คำม่วง ไปตามเส้นทาง อ.สหัสขันธ์ เข้าตัวเมืองกาฬสินธุ์ ก่อนที่มุ่งหน้าไปยัง อ.สมเด็จ กระทั่งมาพบ 2 นักศึกษาดังกล่าว
ผู้ต้องหายังให้การว่า ระหว่างทางได้จอดรถนำเสื้อของเหยื่อมัดมือพร้อมกับใช้ปืนจี้บังคับให้ถอดเสื้อผ้าและลงมือขืนใจภายในรถบริเวณแค๊ปหลังเบาะนั่งคนขับ 3 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ พร้อมกับยึดเอาเงินเหยื่อจากกระเป๋า จนไปถึงเขต อ.เมืองสกลนครจึงได้แวะเติมน้ำมัน ก่อนที่จะขับรถกลับ จ.กาฬสินธุ์
โดยระหว่างทางยังได้ลงมือข่มขืนเหยื่ออีกครั้ง และระหว่างทางยังได้ปล่อยตัวให้โอกาสวิ่งหนี 10 วินาที จากนั้นจึงขับรถกลับบ้าน และไปทำงานกรีดยางตามปกติ จนมาทราบข่าวว่าถูกตามจับจึงหนีเข้าป่าและกลัวว่าจะถูกวิสามัญจึงขอเข้ามอบตัวดังกล่าว
พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มความสามรถ พร้อมกับกดดันอย่างหนัก เพื่อเร่งติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ กระทั่งคนร้ายยอมมอบตัว ซึ่งหลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน พร้อมนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์
ขณะที่่ล่าสุดได้แจ้ง 7 ข้อหาหนัก ได้แก่ 1. พยามฆ่าผู้อื่น 2. ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการไม่กระทำการโดยมีอาวุธ 3. พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือมีเหตุอันสมควร 4. ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรืออยู่ในภาวะที่ไม่ขัดขืนได้ พร้อมกับจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหาคือชิงทรัพย์ ยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และกักขังหน่วงเหนี่ยว เนื่องจากคนร้ายได้เอาเงินผู้เสียหายไปด้วย
ทั้งนี้เบื้องต้นจากการสอบปากคำและคำรับสารภาพคนร้ายรายนี้ถือเป็นบุคคลอันตรายและเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อกับคำให้การว่าเป็นการก่อเหตุครั้งแรก เพราะเท่าที่สอบถามหากทะเลาะกับภรรยาครั้งใดก็มักจะเสพยา ดื่มสุรา และขับรถตะเวนออกจากบ้านทุกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องสืบสวนต่อว่าเคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันนี้อีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผู้เสียหายที่เป็นนักศึกษาชายที่ถูกยิง ขณะนี้ยังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ซึ่งอาการดีขึ้นตามลำดับ เบื้องต้นทางมหาวิทยาลัยจะได้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด เนื่องจากมีประกันสุขภาพนักศึกษา
ส่วนนักศึกษาหญิงนั้นขณะนี้ยังอยู่ในอาการหวาดผวาและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังเก็บตัวเงียบ มีเพียงบรรดาเพื่อนๆ คณะครู อาจารย์ และญาติที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และปลอบขวัญให้กำลังใจ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องของภาครัฐเข้าไปดูแลให้การช่วยเหลือ หลังจากที่ต้องประสบเคราะห์กรรมตกเป็นเหยื่อของภัยของสังคม