ศาลพิพากษาให้ ‘ชิเกตะ’ เป็นพ่ออุ้มบุญลูก 13 คน ตามกฎหมาย
ความคืบหน้าคดีอุ้มบุญ ที่เป็นคดีความมาตั้งแต่ปี 2557 ล่าสุดวันนี้ ศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง ถนนกำแพงเพชร 2 นัดฟังคำพิพากษา ในคดี นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ พ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น ยื่นคำร้อง ขอเป็นผู้ปกครองเด็กทั้ง 13 คน ที่เกิด โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรือ อุ้มบุญ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน แล้วเห็นว่า นายชิเกตะ ได้ว่าจ้างหญิงไทยให้ตั้งครรภ์บุตร โดยใช้เชื้ออสุจิตั้งแต่ปี 2556-2557 โดยเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ ทางการแพทย์พ.ศ. 2558 จะมีผลบังคับใช้ และมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เด็กทั้ง 13 คน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ประกอบกับผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็น ของนายชิเกตะ พบมีสัมพันธ์เป็นบิดาทางสายเลือด และที่ผ่านมา นายชิเกตะได้รับอุปการะเลี้ยงดูด้วยดีตลอดมาและมอบหมายให้บุคคลเข้าเยี่ยมเด็กทั้งหมดในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ดและสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ เป็นประจำ
นอกจากนี้ นายชะเกตะ ยังเตรียมความพร้อมในการอุปการะเลี้ยงเด็กที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งที่พักอาศัย การศึกษา เงินอออมที่สะสมให้กับเด็กทั้ง 13 คน อย่างดี จึงมีคำสั่งให้ เด็กทั้ง 13 คน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนายชิเกตะ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์พ. ศ. 2558 มาตรา 56 โดยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียว
ด้าน นายก้อง สุริยมณฑล ทนายของชิเกตะ ระบุว่า ศาลได้มีคำพิพากษา ให้นาย ชิเกตะ เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายและ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงข้อเท็จจริงก็ยุติว่านายชิเกตะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เพียงต้องการเลี้ยงดูและอุปการะบุตรทุกคน โดยหลังจากนี้จะแจ้งไปยังนายชิเกตะให้รับทราบ และประสาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. เพื่อรับเด็กทั้ง 13 คน ไปอยู่ในการดูแล
ส่วนเด็กทั้งหมด จะใช้สัญชาติใด หรือ ไปอาศัยในประเทศกัมพูชา หรือ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่นายชิเกตะจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ยืนยันว่า เหตุผลที่นายชิเกตะ ต้องการมีบุตรเยอะ เนื่องจาก เกิดในครอบครัวใหญ่ อยากให้ลูกเติบโตไปพร้อมกัน และช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัวต่อไป