คุกกี้เสี่ยงทายหลบไป! การเมืองไทยแท้ต้องทำนายด้วยสิ่งเหล่านี้

คุกกี้เสี่ยงทายหลบไป! การเมืองไทยแท้ต้องทำนายด้วยสิ่งเหล่านี้

คุกกี้เสี่ยงทายหลบไป! การเมืองไทยแท้ต้องทำนายด้วยสิ่งเหล่านี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าคนไทยกับคติความเชื่อและเรื่องลี้ลับนั้นเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะระดับจุลภาคอย่างชีวิตประจำวัน ที่มีทั้งการขอเลขเด็ดประจำเดือน ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม การบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ราบรื่น ไปจนถึงระดับมหภาคอย่าง “การเมือง” ก็ล้วนแล้วแต่มีเรื่องความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่าประเทศไทยควรยุบทุกกระทรวงที่มีอยู่ให้หมด แล้วตั้ง “กระทรวงเวทมนตร์” อย่างในภาพยนตร์ Harry Potter แทน

และเนื่องจากช่วงนี้กระแสความเชื่อในสิ่งลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย นับตั้งแต่อ่างบัวในทำเนียบรัฐบาลแตก ไปจนถึงอีการุมจิกทึ้งนกพิราบต่อหน้าต่อตาประชาชีในพื้นที่ทำเนียบ ส่งผลให้หลายคนหวั่นไหวว่าอาจจะเป็น “ลางร้าย” ของรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้น Sanook! News ก็ขอรวบรวมสิ่งที่ถือเป็นลางร้ายประจำทำเนียบรัฐบาล ที่บอกเลยว่าคุกกี้เสี่ยงทายก็คาดการณ์ไม่ได้อย่างนี้แน่นอน

 

1. ตัวเงินตัวทอง
ตัวเงินตัวทองนับว่าเป็นสัตว์คู่ทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากบริเวณนั้นอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งพี่เขาก็จะออกมาเดินอวดโฉมสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้คนในทำเนียบหลายครั้ง ทั้งในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร ในปี 2546 ที่มีตัวเงินตัวทองความยาวประมาณ 2 เมตร วิ่งขึ้นจากท่อระบายน้ำมุ่งหน้าไปยังตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี หรือในสมัยทักษิณ 2 ซึ่งตรงกับปี 2548 ก็มีตัวเงินตัวทองออกมาวิ่งเล่นบริเวณร้านอาหารข้างลานจอดรถ และโรงจอดรถประจำตำแหน่งนายกฯ และรองนายกฯ เช่นกัน แต่ที่พีคกว่านั้นคือในสมัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2552 ที่พบซากตัวเงินตัวทองตายอยู่ในท่อระบายน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วอาคารผู้สื่อข่าวหลังใหม่ และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทยในที่สุด

2. หัวเสารั้ว
ในเดือนมีนาคม 2549 ขณะที่มีการชุมนุมของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็บังเกิดเหตุการณ์เต็นท์กันแดดถูกลมพัด ล้มใส่หัวเสารั้วทำเนียบรัฐบาลต้นที่ 7 ทำให้หัวเสาหัก จนหลายคนต่างตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นลางร้ายหรือการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งในวันนั้น นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถึงกับเปลี่ยนแผนจากการเดินทางกลับมายังกรุงเทพฯ เป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูนแทน และในที่สุด ลางร้ายที่ว่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะไม่กี่เดือนต่อมาก็เกิดเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 จนได้

3. ต้นไม้โบราณ
เนื่องจากบริเวณทำเนียบรัฐบาลถือเป็นพื้นที่เก่าแก่ จึงมีต้นไม้ใหญ่อายุมากอยู่เต็มไปหมด และเมื่อเกิดพายุรุนแรง ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้เป็นต้องหักโค่นให้คนแถวนั้นใจหายอยู่บ่อยๆ ด้วยเชื่อกันว่าการที่ต้นไม้ใหญ่ล้มนั้นแสดงถึงเหตุร้ายที่จะตามมา โดยในปี 2555 ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ต้นกระพี้จั่นอายุกว่า 40 ปี เกิดโค่นล้ม เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ประกอบกับโคนต้นไม้มีเชื้อรา ทำให้เนื้อไม้ผุกร่อน แต่กลับก่อให้เกิดเสียงร่ำลือว่าอาจเกิดเหตุร้าย หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส
ต่อมาในปี 2560 ซึ่งตรงกับยุคของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กิ่งต้นงิ้วอายุกว่า 100 ปี ได้หักโค่นลงมาเกี่ยวสายไฟ ทำให้หม้อแปลงระเบิด และยังทับศาลาที่พักเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บเล็กน้อย และมีรถยนต์เสียหาย 4 คัน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรถของนายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ว.ฉะเชิงเทรา ซึ่งนายบุญเลิศ เจ้าของฉายา “โหร ส.ว.” ได้กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นลางร้าย เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่ดาวมฤตยูโคจรมาทับดวงเมืองและดวงโลกหมายความว่า อาจจะเกิดการสู้รบและการปฏิวัติซ้อนก็เป็นได้ หรือเทวดาที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุอาจจะไม่พอใจบางเรื่องหรือส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น

4. ฟ้าผ่า
ปี 2552 ซึ่งเป็นสมัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นช่วงที่การเมืองร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จากการเกิด “กลุ่มเสื้อแดง” ที่รวมตัวกันประท้วงขับไล่รัฐบาล และในบ่ายวันที่ 19 สิงหาคม 2552 เกิดเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ยอดตึกไทยคู่ฟ้า ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น ทั้งการถวายฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อน้ำเงินที่เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยิ่งทำให้สื่อมวลชนและข้าราชการในทำเนียบพากันกังวลถึงเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลในขณะนั้น

 

5. อ่างบัวและกระถางต้นไม้
เครื่องประดับสวนหย่อมธรรมดาที่ใครๆ มองข้าม กลายเป็นประเด็นครึกโครมตั้งแต่เริ่มโครงการปรับภูมิทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นอ่างบัวจำนวน 10 ใบ ราคาใบละ 5,000 บาท ที่ไม่ทันไรก็รั่วซึม เนื่องจากคนงานตัดหญ้าทำหินกระเด็นใส่ ต่อมา เจ้าอ่างบัวนี้ก็ถูกรถชนแตกไปอีก 1 ใบ ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นลางร้าย หลังจากที่ นพ. ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนาฬิกาหรูอย่างออกรส จนต้องขอโทษเจ้าของนาฬิกา และไม่พบหน้าสื่ออีกต่อไป
อ่างบัวแตกวันธรรมดาก็อาจจะไม่มีอะไร แต่บังเอิญอ่างบัวนี้กลับแตกในวันไหว้บรรพบุรุษของเทศกาลตรุษจีนพอดี ซึ่งเชื่อกันว่าวันนี้ห้ามทำสิ่งของเสียหายเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไม่เป็นมงคล ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ในทำเนียบต้องเร่งนำโคมจีนมาประดับรอบทำเนียบรัฐบาลแบบฉุกเฉินเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แทนที่จะประดับโคมล่วงหน้าตามธรรมเนียมจีนทั่วไป
นอกจากอ่างบัวแล้ว ยังมีกระถางต้นข่อยแตกอีก 1 กระถาง ซึ่งแม้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนงานจะยืนยันว่ากระถางต้นข่อยดังกล่าวแตกร้าวอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นถูกวิจารณ์เกี่ยวกับลางร้าย เนื่องจากหลายคนมองว่าถึงคราวขาลงของรัฐบาล คสช. เสียแล้ว

 

6. ธูป
ต่อเนื่องจากเหตุอ่างบัวแตกมาติดๆ ด้วยธูปปริศนา จำนวน 36 ดอก ที่ถูกนำมาปักไว้ใกล้กับปืนใหญ่ในสนามหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล สร้างความสงสัยและตื่นตระหนกให้กับผู้ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ว่าจะมีการใช้คุณไสยทำร้ายรัฐบาลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การจุดธูป 36 ดอก หมายถึงไตรภูมิ 36 ชั้น เป็นพิธีกรรมที่ทำเพื่อขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้า ซึ่งบนตึกไทยคู่ฟ้ามีศาลพระพรหมตั้งอยู่ โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิต ราบรื่นและเจริญรุ่งเรือง แต่ถามว่าใครนำมาปัก ปักเพื่ออะไร และปักเมื่อไร อันนี้ก็ไม่ทราบจริงๆ

7. นก
เนื่องจากทำเนียบรัฐบาลมีต้นไม้ใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ก็คือนก โดยเฉพาะอีกา นกล่าเหยื่อสีดำที่ได้ชื่อว่าเป็นนกที่จะนำข่าวร้ายมาให้ โดยในสมัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 เกิดเหตุประหลาดขึ้น เมื่อฝูงกากว่า 20 ตัว พากันบินว่อนและส่งเสียงร้องอยู่ตรงข้ามห้องทำงานของนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาในขณะนั้น ต่อมาในวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นวันก่อนวันครบรอบ 1 ปี ที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ ปรากฏว่ามีตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่เดินตัดสนามหญ้า ตรงเข้าไปบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยมีนกเอี้ยงไล่จิก แต่ตัวเงินตัวทองก็ไม่ได้วิ่งหนี ทำให้ข้าราชการและสื่อมวลชนนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
และวีรกรรมล่าสุดของอีกาทำเนียบรัฐบาลก็คือ การโชว์รุมจิกนกพิราบข้างสนามหญ้าหน้าทางเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า สถานที่ทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สร้างความตกใจให้บรรดาผู้พบเห็น จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่าอาจจะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง อย่างไรก็ตาม เพจของคนรักนกอย่าง “สิ่งละอันพันละนก” ก็ระบุว่า การที่อีกาล่านกพิราบเป็นเรื่องปกติ แถมอีกายังได้ชื่อว่าเป็นนักฉวยโอกาส ที่มักจะฆ่าเหยื่อเมื่อเหยื่อเผลอ แต่เนื่องจากเล็บเท้าของอีกาไม่ได้แข็งแรงเท่ากรงเล็บเหยี่ยว และไม่ได้มีปากงุ้มคม ทำให้เวลาอีกาฆ่าเหยื่อจึงดูทุลักทุเลและเป็นที่สังเกตได้ง่าย

แต่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ออกมากล่าวถึงการเชื่อมโยงอุบัติเหตุหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติเข้ากับเรื่องทางโหราศาสตร์ โดยขอร้องว่าอย่ามองว่าเป็นเรื่องโหราศาสตร์เพียงอย่างเดียว เพราะยุคนี้เป็นยุค 4.0 อย่างไรก็ตาม ท่านนายกตู่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเรื่องธูป 36 ดอกนั้น อาจจะเป็นความตั้งใจของคนอื่นๆ ที่อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า เป็นเจตนาที่ดีและหวังดีต่อประเทศชาติ

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เราไม่รู้แน่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำหายนะมาสู่รัฐบาลได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ถึงสถานะ "ขาลง" ของรัฐบาลได้อย่างชัดเจนก็คือผลงานตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศ ก็ขอให้ประชาชนชาวไทย "โฟกัสที่ผลงาน" ต่อไปนะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook