ลูกชาย 8 ขวบ เขียนจดหมายถึงแม่ หลังติดคุกไม่รู้ชะตาอยู่ยะลา
เพื่อนบ้านสุดสะเทือนใจ น้องมิวสิค ลูกชายวัย 8 ขวบ เขียนจดหมายคิดถึงแม่ หลังถูกจับติดคุกยะลา ยังไม่รู้ชะตากรรม ผู้ว่าฯ เร่งสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือ
จากกรณี นางประไพนี อายุ 57 ปี ชาว ต.สระพังทอง อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ดำรงธรรม อ.เขาวง ในโอกาสเดินทางตรวจราชการที่ อ.เขาวง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 หลังจาก นางสาววารีรัตน์ อายุ 37 ปี ลูกสาวถูกตำรวจยะลา นำหมายศาลมาจับกุมและควบคุมตัวไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่อธิบายถึงเหตุผล ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดในวันนี้ (17 มี.ค.) ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ ผู้สื่อข่าวได้ติดตามความคืบหน้า การให้ความช่วยเหลือนางประไพนี โดย นายสนุน แจะหอม นิติกรปฏิบัติการประจำศูนย์ดำรงธรรมฯ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากนางประไพนีจริง เป็นหนังสือขอความช่วยเหลือ
สำหรับกรณีนางสาววารีรัตน์ ลูกสาวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งได้ลงรับเลขที่ กส. พิเศษ เขาวง 005 จุดที่ 1 ณ ที่ว่าการ อ.เขาวง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชี้แจงให้นางประไพนีทราบถึงสาเหตุเป็นที่เข้าใจแล้วว่า นางสาววารีรัตน์ ถูกจับตามหมายศาล จ.ยะลา ที่ จล. 191/2555 ลง 31 กรกฎาคม 2555 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง
นางวราภรณ์ เปล่งแสง ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติ จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้รับการประสานจากยุติธรรม จ.ยะลา ให้ดำเนินการตรวจสอบสภาพครอบครัวนางสาววารีรัตน์ ผู้ต้องหา ที่ต้องการความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมฯ ในการต่อสู้คดีตามสิทธิ์ โดยได้มอบหมายเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ว่าจะเข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมหรือไม่ ก่อนจะส่งข้อมูลไปที่ยุติธรรม จ.ยะลา ซึ่งอยู่ในช่วงของการดำเนินการ
ขณะที่ในส่วนของการช่วยเหลือ น้องมิวสิค บุตรชายนางสาววารีรัตน์นั้น ก็จะได้ประสานบ้านพักเด็กและครอบครัวฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาให้ความช่วยเหลือต่อไป
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ยุติธรรมฯ พบว่าฐานะ นางประไพนี ฐานะยากจน อาศัยอยู่บ้านชั้นเดียว สภาพค่อนข้างทรุดโทรม ที่ผ่านมาเคยมี นางสาววารีรัตน์ ลูกสาวหาเลี้ยงชีพ โดยจะเป็นคนออกหาอาหารป่า เช่น ไข่มดแดง หน่อไม้ ยอดผักหวานประทังชีวิต วันไหนหาได้มากก็นำไปจำหน่ายให้กับเพื่อนบ้าน
ขณะที่นางประไพศรีจะรับจ้างทอผ้า มีรายได้รวมกันเพียงเดือนละประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่ารายจ่ายทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าฌาปนกิจหมู่บ้าน ค่าขนมลูกไปโรงเรียน ต้องกู้เงินจากกองทุนหมู่บ้าน ธกส.และกลุ่มสตรี เป็นทุนหมุนเวียนเลี้ยงชีพ โดยมียอดหนี้รวม 332,500 บาท ทำให้ความเป็นอยู่ขัดสนมาก
โดยเฉพาะหลังจากที่ นางสาววารีรัตน์ ถูกจับกุม ความเป็นอยู่ยิ่งลำบาก สภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอ โดยนางประไพนีมีการเป็นโรคหัวใจรุมเร้า และ น้องมิวสิค ก็มีอาการซึมเศร้า เพราะคิดถึงแม่มาก จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริงก็กลายเป็นเงียบขรึม มักจะนำภาพถ่ายของนางวารีรัตน์มาดูและบ่นถึง
แม้แต่เข้านอนก็ต้องนอนกอดภาพถ่ายแม่ทุกคืน ซึ่งสองยายหลานตกอยู่ในสภาพนี้มาตลอดระยะเวลา 3 เดือนเศษที่นางสาววารีรัตน์ถูกจับตัวไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม จึงเป็นภาพที่สะเทือนใจแก่เพื่อนบ้านและผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
โดยในวันนี้ น้องมิวสิค ได้นำจดหมายที่เขียนระบายความรู้สึกถึงนางสาววารีรัตน์ ผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง โดยเขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2561 เพื่อฝากเจ้าหน้าที่ยุติธรรมฯ นำส่งถึงแม่ ใจความว่า “ถึงแม่ แม่ครับ แม่อยู่ที่นั่นสบายดีไหมครับ ผมอยากบอกแม่ว่า ผมสอบเสร็จแล้ว และก็เข้าค่ายลูกเสือเสร็จแล้ว และผมก็ได้ปิดเทอมแล้วด้วย ผมมีความสุขมากๆเลย ปล.ผมคิดถึงแม่มากที่สุดเลย น้องมิวสิค”
ทั้งนี้ แหล่งข่าวแจ้งว่า จากการที่นางสาววารีรัตน์ถูกจับกุมข้อหาร่วมกันฉ้อโกงนั้น สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายรายหนึ่งได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองยะลา ว่ามีบุคคลโทรศัพท์เชิงข่มขู่ให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบัญชีเป็นชื่อนางสาววารีรัตน์ จำนวน 5 หมื่นบาท
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตามแกะรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิดตามตู้เอทีเอ็ม และพบเบาะแสเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพอดีตสามีของนางสาววารีรัตน์ที่แยกทางกันเมื่อปี 2554 กับผู้หญิง 2 คนเดินไปถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม
ก่อนที่จะมีตำรวจยะลา นำหมายศาลมาจับกุมนางสาววารีรัตน์ที่บ้าน เมื่อตอนเช้าของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 และนางประไพนีเขียนหนังสือร้องทุกข์กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้ นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ หลังได้รับรายงานทราบว่า นางประไพนีที่อุปการะน้องมิวสิค ฐานะยากจน และกำลังประสบกับความทุกข์เข็ญ ได้กำชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและประสบความเดือดร้อน เพราะขณะนี้ทางจังหวัด กำลังบูรณาการกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนโครงการกาฬสินธุ์แฮปปี้เนส โมเดล คนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งจะต้องรีบเร่งปลดเปลื้องทุกข์ และคืนความสุขให้กับครอบครัวนี้โดยเร็ว