5 คดีทำโทษเด็กให้หลาบจำหรือทำเพื่อสนองอารมณ์
“รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” โบราณว่าไว้จะสั่งสอนใครต้องให้หลาบจำ แต่การทำโทษเด็กให้หลาบจำนั้นอาจเป็นแค่เส้นบางๆ ที่ขวางกั้นระหว่างความรุนแรง กับ การลงโทษสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี
อย่างเช่น กรณีที่โลกออนไลน์ได้แชร์ภาพเด็กน้อย 2 คน ที่ถูกมัดติดกับต้นไม้ ลักษณะขึงพืดแล้วใช้ไม้เรียวฟาด เพื่อเป็นการลงโทษที่เด็ก 2 คนนี้ได้ไปขโมยเงินจำนวน 200 บาท ซึ่งเหตุการณ์นี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นการลงโทษที่เกินกว่าเหตุหรือไม่
เพราะการมัดเด็กกับต้นไม้เสมือนเป็นการประจานเด็กซึ่งอาจทำให้อับอายจนเกิดปมในใจก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้เชื่อหรือไม่ว่าการลงโทษเด็กที่อาจดูเกินกว่าเหตุนั้นไม่ได้มีแค่กรณีนี้เพียงกรณีเดียว แต่ยังมีการทำโทษเด็กแบบแปลกๆ ที่คล้ายกับการทำโทษเพื่อสนองอารมณ์ด้วยวิธีการแบบพิเรนทร์ยากเกินกว่าจะเข้าใจ
ย้อนดู 5 คดีทำโทษเด็กแบบแปลกๆ เพื่อสั่งสอน หรือ สนองอารมณ์
แค่หยอกเล่น ปากขวดลนไฟจี้ต้นขา
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2560 จ.อุดรธานี โลกออนไลน์ได้แชร์ภาพเด็กนักเรียนชายถูกครูประจำชั้นทำโทษด้วยการใช้ไฟลนปากขวดมาจี้ที่ขาของ ด.ช.รายนี้ เพียงเพราะเด็กท่องสูตรคูณไม่ได้ แต่ครูคนดังกล่าวกลับปัดความรับผิดชอบ พร้อมกับยื่นเงินค่ายามาให้ 500 บาท
หลังจากเกิดเรื่องมีการสอบสวนครูที่กระทำผิดโดยยอมรับทำจริง แต่เป็นการหยอกล้อกับเด็กเท่านั้น และไม่ได้ทำไปเพราะเรื่องท่องสูตรคูณไม่ได้ พร้อมได้เข้าไปขอโทษทางผู้ปกครองของเด็กและปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ด้านเด็กก็ไม่ได้ติดใจเอาความ
สั่งสองเชิงสมมติ
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 60 โลกออนไลน์ได้แชร์ภาพเด็กหญิงวัยอนุบาลที่ จ.สุรินทร์ ถูกครูทำโทษด้วยการใช้สกอตช์เทปมัดมือและปิดตา
โดยครูประจำชั้นอ้างว่าน้องที่ถูกทำโทษนั้นทำความผิดด้วยการฉีกกระดาษขาดไปทั้งหมด 3 รีม ซึ่งการลงโทษครั้งนี้ทำให้น้องร้องไห้จนตัวสั่นและกลัวเป็นอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ทั้งนี้หลังจากเกิดเรื่องได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยครูผู้กระทำผิด 2 คน ซึ่งครูผู้หญิงทั้ง 2 คน ได้ยอมรับว่าเป็นผู้สั่งให้เด็กนักเรียนกระทำจริง
โดยเป็นการสั่งสอนเชิงสมมติ และได้เสนอจ่ายค่าเยียวยาให้ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล ทั้ง 2 คน คนละ 20,000 บาท พร้อมทั้งขอย้ายตัวเองออกจากพื้นที่
วางรองเท้าบนหัว ฝึกวินัยให้มีความรับผิดชอบ
กลายเป็นคำถามต่อสังคมเมื่อปรากฏคลิปครูท่านหนึ่งได้ทำโทษนักเรียนด้วยการนำรองเท้าไปวางไว้บนหัว และบังคับให้เด็กก้มกราบ ซึ่งคลิปนี้ถูกแชร์ไปบนโลกออนไลน์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 60 เหตุเกิดที่ จ.อุบลราชธานี โดยสาเหตุเพียงเพราะนักเรียนวางรองเท้าไม่เป็นระเบียบ
เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าพฤติกรรมการลงโทษของครูรุนแรงเกินไปหรือไม่ และทำเพื่อสั่งสอน หรือ เพื่อสนองอารมณ์ตัวเอง
ทั้งนี้ทางต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมมีคำสั่งย้ายครูออกนอกพื้นที่เป็นการชั่วคราวเพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบ ด้านศิษย์เก่าเชื่อว่าครูทุกคนต้องการฝึกวินัยให้นักเรียน ให้เป็นคนดี ไม่มีครูที่อยากทำร้ายลูกศิษย์
ฟาด 300 ที ขอดูก้น ก่อนส่งคลิปลามก
14 พฤศจิกายน 60 ฉาววงการสีกากีอีกครั้งเมื่อครูทำโทษลูกศิษย์เกือบทั้งห้องด้วยการใช้ไม้เรียวฟาดก้นคนละ 100-300 ครั้ง อันมีสาเหตุมาจากการที่นักเรียนลืมเอาสมุดหนังสือวิชาของครูมาโรงเรียน หรือ บางคนไม่ได้ห่อปกสมุดหนังสือมา จึงถูกทำโทษด้วยการตีเกือบยกชั้น
ซึ่งการลงโทษครั้งนี้อาจดูรุนแรงเกินไป แต่มีสิ่งอื่นที่รุนแรงมากกว่านี้
โดยหลังจากที่ครูจอมโหดได้ลงโทษนักเรียนแล้วก็ได้ส่งข้อความแชทไปหาเด็กนักเรียนเพื่อขอดูรอยช้ำที่ก้น นอกจากนั้นยังส่งคลิปโป๊ ข้อความลามกอนาจารมาคุยทางแชทอีกด้วย
ซึ่งล่าสุดได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนครูคนนี้ว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ และจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายตามระเบียบ
ลุกนั่ง 180 ครั้ง หัวเข่าอักเสบ เกือบพิการ
กลายเป็นกรณีศึกษาอีกครั้งว่าเป็นการทำโทษเด็กเกินกว่าเหตุหรือไม่ หลังจากที่โลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ถูกครูทำโทษให้ลุกนั่ง 180 ครั้ง เนื่องจากหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ครบ จนทำให้น้องเข่าอักเสบจนเดินไม่ได้ หวิดพิการ
หลังเกิดเรื่องทางคุณครูได้เข้ามาขอโทษน้องและผู้ปกครอง โดยครูไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เพียงแค่ต้องการอบรมเด็ก และรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
ทางด้านเด็กหญิงที่ถูกทำโทษได้เผยว่า ปกติแล้วครูเป็นครูที่อารมณ์ดี ไม่เคยตีเด็กคนไหนเลย หากเด็กคนไหนทำผิดก็จะใช้วิธีให้ออกกำลังกายแทน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นบทเรียนให้คุณครูและโรงเรียนเป็นอย่างดีว่าการลงโทษเด็กที่ทำผิดควรอยู่ในพื้นฐานที่สังคมสามารถยอมรับได้ และที่สำคัญต้องประเมินตัวเด็กเองด้วยว่าการทำโทษจะไม่สร้างผลกระทบที่เสียหายถึงชีวิตและทัศนคติ รวมทั้งปมในใจของเด็กอีกด้วย
ทีนี้มาดูกันว่าระเบียบการลงโทษที่ถูกต้องของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต้องทำอย่างไรบ้าง
ข้อ 5 โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถานดังนี้
5.1 ว่ากล่าวตักเตือน
5.2 ทำทัณฑ์บน
5.3 ตัดคะแนนความประพฤติ
5.4 กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ข้อ 6 ห้ามลงโทษนักเรียน และนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียน หรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย
ข้อ 7 การว่ากล่าวตักเตือนใช้ในกรณีนักเรียน หรือนักศึกษากระทำความผิด ไม่ร้ายแรง
ข้อ 8 การทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม กับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษา ที่ได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ
ข้อ 9 การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการ ตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนด
ข้อ 10 ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียน และนักศึกษากระทำความผิดที่สมควร ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งการจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
หากลงโทษด้วยความรัก เพื่อให้เด็กหลาบจำ ให้เด็กเป็นคนดี อนาคตข้างหน้าก็จะมีบุคลากรที่ดีต่อไป
แต่หากลงโทษเด็กเพื่อสนองอารมณ์ของตัวเอง อาจควรต้องฉุกคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะเป็นการปลูกฝังและสั่งสอนให้เด็กเป็นคนดีได้อย่างไร ในเมื่อแบบพิมพ์ยังไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีได้
เด็กอ้วนถูกลงโทษจนเดินไม่ได้ แม่วอนครูดูสภาวะร่างกายเด็กก่อน
เด็กหญิงม.2 แฉครูตีทำโทษ 313 ที ส่งคลิปโป๊ขอมีเพศสัมพันธ์
ชายขึงต้นไม้-ตีเด็กขโมยเงิน 200 แค่อยากสั่งสอน หวังให้เด็กได้ดี