ซักเคอร์เบิร์กยอมรับเฟซบุ๊กทำพลาด ข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลกว่า 50 ล้านคน
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งแรกต่อกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคน รั่วไหลจากการตอบแบบสอบถามของสถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา โดยเขายอมรับว่าเฟซบุ๊กทำผิดพลาด และกำลังหามาตรการป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในอนาคต
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้โพสต์แถลงการณ์ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อกรณีที่สถาบันวิจัย Cambridge Analytica (เคมบริดจ์ แอนาลิติกา) ทำข้อมูลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคน รั่วไหลและกำลังก่อให้เกิดวิกฤตความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้ใช้งานกับเฟซบุ๊ก
โดยซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่าเฟซบุ๊กทำพลาดและก่อให้เกิดการละเมิดความไว้วางใจกัน ทั้งระหว่างเฟซบุ๊กกับสถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา และระหว่างเฟซบุ๊กกับผู้ใช้งาน ซึ่งขณะนี้เฟซบุ๊กก็ได้เพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในอนาคต
>>> [หุ้นเฟซบุ๊กร่วง เหตุนักลงทุนกังวลข้อมูลผู้ใช้รั่ว ทำซักเคอร์เบิร์กรวยลดลง 1.5 แสนล้าน] <<<
มาตรการที่เฟซบุ๊กนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันนำข้อมูลผู้ใช้งานไปใช้ประโยชน์ได้ ก็มีทั้งการตรวจสอบแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานที่น่าสงสัย และสั่งแบนแอปพลิเคชันที่ไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบ และในอนาคต เฟซบุ๊กจะเพิ่มมาตรการป้องกันข้อมูลของผู้ใช้งานให้รัดกุมมากขึ้น
ด้วยการจำกัดข้อมูลที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะขอจากผู้ใช้งานได้ให้เหลือเพียง ชื่อ, รูปภาพ และอีเมล เท่านั้น และหากผู้ใช้งานไม่ได้เปิดใช้แอปพิเคชันนานติดกัน 3 เดือน แอปพลิเคชันนั้นก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานคนนั้นได้อีก
ซักเคอร์เบิร์กยังย้ำด้วยว่าการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเฟซบุ๊ก ซึ่งเฟซบุ๊กจะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกและช่วยสร้างสังคมผู้ใช้งานเฟซบุ๊กให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากมองว่า เฟซบุ๊กไม่มีความจริงใจในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานส่วนหนึ่งตัดสินใจเลิกใช้เฟซบุ๊กด้วยการประกาศลบบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเป็นกระแสติดแฮชแท็ก #DeleteFacebook เรียกร้องให้ผู้คนลบบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองด้วย และกระแสดังกล่าวเริ่มได้รับความนิยมในหลายประเทศ