‘สุเทพ’ ติงปฏิบัติการรุกฆาต อายัดบัญชี 13 พันธมิตร แรง-เร็ว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
โพสต์เฟซบุ๊กกรณี 13 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกอายัดบัญชี ภายหลังสำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งเตือน 13 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. ให้ชำระหนี้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในคดีปิดยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง เมื่อปี 2551
โดยระบุว่า คดีสนามบินนั้นนอกจากพันธมิตรฯ จะถูกฟ้องอาญาข้อหาหนักแล้ว ยังถูกฟ้องแพ่งจากทอท. , การบินไทย และวิทยุการบิน อีกด้วย โดยคดีแพ่งของการบินไทยและวิทยุการบินนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี
แต่ในส่วนของ ทอท. คดีถึงที่สุดไปแล้ว โดย 13 จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย 522 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ปี นับแต่ 5 ธ.ค.2551 และ ณ วันนี้เริ่มปฏิบัติการอายัดบัญชีกันแล้ว ทั้งๆ ที่คดีอาญาเพิ่งจะสืบพยานโจกท์ในศาลชั้นต้นเท่านั้น คำถามจึงมีอยู่ว่าหากคดีอาญาศาลตัดสินยกฟ้องจำเลยหรือรอลงอาญา รอการกำหนดโทษ จะเป็นธรรมกับจำเลยที่ถูกบังคับคดีหรือที่สุดอาจถูกฟ้องล้มละลายหรือไม่อย่างไร
นายสุเทพ ระบุว่า เม็ดเงิน 800 กว่าล้านบาท ที่จำเลย 13 คนต้องชดใช้ คงยากที่บุคคลเหล่านี้จะหามาชดใช้ได้ แต่คำถามชวนคิดก็คือทำไมปฏิบัติการรุกฆาตอายัดบัญชีมาแรงและมาเร็ว ทั้งๆ ที่การบังคับคดี การสืบทรัพย์มีระยะเวลาดำเนินการนาน 10 ปี…และที่ผ่านมาสังคมก็รับรู้ว่าจำเลยทั้ง 13 คน และทุกคนไม่เคยมีใครหนีคดี มีแต่เคารพกระบวนการยุติธรรม และไม่ได้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแม้แต่น้อย โดยข้อความทั้งหมด ระบุดังนี้
Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)
อายัดบัญชี 13 พันธมิตร ปฏิบัติการรุกฆาตจากการท่าฯ-อำนาจมืด
“....เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา กรมบังคับคดีส่งเอกสารถึงทุกธนาคาร อายัดทุกบัญชีของพวกเรา แต่เพิ่งทราบจริงวันนี้ (23 มี.ค.) หลังจากเพื่อนโอนเงินมาให้ ไปกดATMไม่ได้ จึงไปติดต่อธนาคารจึงทราบเรื่องทั้งหมด อายัดทุกบัญชี จะกี่บาทก็ช่าง และมันคงจะเป็นภาวะแบบนี้ไปจนกว่าเขาจะสามารถยึดทรัพย์เราได้ทั้งหมด..
มันเป็นเช่นนี้เอง ความรู้สึกเจ็บลึกในอก..
แม่เจ้าโว้ย!!!ทีคนโกงชาติบ้านเมืองมันทำอะไรกันอยู่ ทีกับคนที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตนเอง เอ็งทำได้และรีบทำ..”
ตอนหนึ่งในเฟสบุ๊ค ของ “มาลีรัตน์ แก้วก่า” ที่โพสต์รัว ๆ เมื่อเวลา 20.31น. วันที่ 23 มี.ค.2561 และได้รับการแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นข่าวร้อนทั้งในสื่อกระแสหลักและโลกออนไลน์
มาลีรัตน์ แก้วก่า หรือ ”พี่ติ๊ก” ของน้อง ๆ เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสกลนคร และเป็นอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่น 2
เมื่อกล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ประกาศยุติบทบาทไปแล้วเมื่อเดือน ส.ค. 2556 เป็นที่ทราบกันว่าพวกเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบทักษิณถึงสองรอบใหญ่ คือเมื่อปี 2549 และ 2551 ทำให้แกนนำและแนวร่วมถูกดำเนินคดีหลายคดี
โดยคดีอาญาคดีหลักคือ คดีบุกทำเนียบรัฐบาล,คดีชุมนุมล้อมรัฐสภาและคดีชุมนุมที่สนามบิน
สองรอบของการลุกขึ้นสู้ทำให้ระดับแกนนำโดนคดีอาญา-แพ่ง ไปคนละ 5-6 คดีเป็นอย่างน้อย
เฉพาะคดีชุมนุมที่สนามบินเมื่อปลายปี 2551 เป็นคดีที่ตลกร้ายที่สุด พนักงานสอบสวนฟ้องเหวี่ยงแหผู้ต้องหาจำนวนมากถึง 98 คน ทั้งแกนนำการชุมนุม และคนที่ไปยืนปรบมือร้องเพลงข้างเวที และในจำนวน 98 จำเลย มีผู้ที่ถูกข้อหาก่อการร้ายโทษประหารชีวิตถึง13 คน
จะว่าไปคดีสนามบินนี้คล้าย ๆ กับคดีที่ดีเอสไอ-อัยการกำลังถูกวิจารณ์อยู่ในขณะนี้ว่าฟ้องเหวี่ยงแห 58 กปปส. แต่ที่น่าเศร้า คดีสนามบินนั้น นอกจากพันธมิตรฯจะถูกฟ้องอาญาข้อหาหนักแล้ว ยังถูกฟ้องแพ่งจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.),บริษัทการบินไทย และวิทยุการบิน อีกด้วย
คดีแพ่งของการบินไทยและวิทยุการบินนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี แต่ในส่วนของทอท.คดีถึงที่สุดเมื่อเดือนก.ย.2560 โดย 13 จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย 522 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ปี นับแต่ 5 ธ.ค.2551 และ ณ วันนี้เริ่มปฏิบัติการอายัดบัญชีกันแล้ว ทั้ง ๆ ที่คดีอาญาเพิ่งจะสืบพยานโจกท์ในศาลชั้นต้นเท่านั้น
คำถามจึงมีอยู่ว่าหากคดีอาญาศาลตัดสินยกฟ้องจำเลย หรือรอลงอาญา รอการกำหนดโทษ จะเป็นธรรมกับจำเลยที่ถูกบังคับคดีหรือที่สุดอาจถูกฟ้องล้มละลายหรือไม่อย่างไร
จริงอยู่เม็ดเงิน 800 กว่าล้านบาท ที่จำเลย 13 คนต้องชดใช้ หากคิดเป็นรายหัวตกคนละ 60 กว่าล้านบาท คงยากที่บุคคลเหล่านี้จะหามาชดใช้ได้ แต่คำถามชวนคิดก็คือทำไมปฏิบัติการรุกฆาตอายัดบัญชีมาแรงและมาเร็ว ทั้ง ๆ ที่การบังคับคดี การสืบทรัพย์มีระยะเวลาดำเนินการนาน 10 ปี…และที่ผ่านมาสังคมก็รับรู้ว่าจำเลยทั้ง 13 คน และทุกคนไม่เคยมีใครหนีคดี มีแต่เคารพกระบวนการยุติธรรม และไม่ได้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแม้แต่น้อย
ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไม อดีต ส.ว. มาลีรัตน์ถึงได้ตบท้ายในเฟสบุ๊คของเธอแบบประชดประชันปนน้อยเนื้อต่ำใจว่า “จุกในอกจริงๆ..แต่ไม่อาจสยบข้าได้หรอก ต่อให้ไม่มีเงินกินข้าว เพื่อนมิตรยังมีข้าว ให้กิน...เอาเถอะ..รีบมายึดไปให้หมด..เร็วนะ..”
สำหรับ13 แกนนำ/แนวร่วมพันธมิตรฯ ที่ถูกทอท.ฟ้องแพ่ง ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายอมร อมรรัตนานนท์, นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม ,นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี
จาก 13 รายชื่อ จะพบว่ามีอย่างน้อย 6 คน คือพิภพ, สมศักดิ์, สุริยะใส, สมเกียรติ, สำราญ และอมร เป็นผู้ต้องหาคดีกบฏร่วมกับ”ลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ในรอบของ กปปส. ปี2557ด้วย
การตกเป็นจำเลยคดีก่อการร้าย-กบฏ-อังยี่-ซ่องโจร ไม่ได้เป็นเรื่องสนุกอย่างแน่นอน แต่ใช่หรือไม่ว่าเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนพันธมิตรฯ-กปปส.ลุกขึ้นมาต่อสู้ก็เพราะต้องการหยุดอำนาจฉ้อฉลประเทศชาติ หยุดปฏิบัติการที่ทำร้ายศาสนา จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก
คงไม่มีใครว่าถ้าการดำเนินคดีในส่วนของต้นทาง กลางทาง ของกระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างโปร่งใส สะอาด ยุติธรรม แต่ที่ผ่าน ๆ มาพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกหลายต่อหลายกรณีว่า ไม่ใช่
นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่พี่น้องมวลมหาประชาชนจะต้องช่วยกันตอบให้กับบ้านนี้เมืองนี้อีกครั้ง...!!