ศาลตัดสินประหาร "แก๊งบังฟัต" คดีฆ่ายกครัวผู้ใหญ่วรยุทธ 8 ศพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (28 มี.ค.) เมื่อเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดกระบี่ ควบคุมตัว นายซูริก์ฟัต หรือ บังฟัต ผู้ต้องหาฆ่า นายวรยุทธ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ตำบลบ้านกลาง อำเภออ่าวลึก พร้อมครอบครัว และญาติๆ รวม 8 ศพ ภายในบ้านพัก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2560 มายังศาลจังหวัดกระบี่ พร้อมกับผู้ต้องหาคดีอื่นๆ เพื่อฟังคำตัดสินคดีในเวลา 09.00 น.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ย้อนคดี “บังฟัต” ฆ่ายกครัวผู้ใหญ่วรยุทธ 8 ศพ ปี 60
สำหรับคดีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 10 ก.ค.2560 นายซุริก์ฟัต หรือ บังฟัต พร้อมพวก รวม 8 คน แต่งกายชุดคล้ายทหาร บุกเข้าไปจับตัวนายวรยุทธ และคนในครอบครัว ญาติๆ รวม 11 คน ไว้ตามห้องต่างๆ ภายในบ้านพัก จากนั้นใช้อาวุธปืนของนายวรยุทธ จ่อยิงศีรษะทีละคน แต่มีผู้รอดชีวิต 3 คน
สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งเรื่องโฉนดที่ดิน ที่พ่อตานายวรยุทธ นำไปจำนองไว้กับ นายซูริก์ฟัต จนกระทั่งมีการผ่อนชำระหมด แต่นายซูริก์ฟัต นำที่ดินไปจำนองไว้กับทางธนาคาร ไม่สามารถนำหลักฐานที่ดินกลับมาคืนให้ได้ จึงมีการทวงถามกันหลายครั้ง สร้างความขัดแย้งกัน
นายซูริฟัต จึงวางแผนก่อเหตุ โดยจัดฉากว่านายวรยุทธ เครียด มีปัญหาเรื่องหนี้สินจนก่อเหตุฆ่าคนในครอบครัว และฆ่าตัวตายตาม หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายหลังจากเกิดเหตุ 5 วัน พร้อมของกลางหลายรายการ
ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ประกอบด้วย นายซูริก์ฟัต หรือ บังฟัต อายุ 41 ปี นายประจักษ์ หรือ จักร์ อายุ 36 ปี นายคมสรรค์ หรือ ม่อน นายอับดุลเลาะ อายุ 30 ปี นายธวัฒชัย หรือ ชัย อายุ 37 ปี นายอรุณ หรือ กี้ร์ อายุ 29 ปี นายธนชัย หรือ โกบ อายุ 41 ปี และ นางสาวชลิตา อายุ 41 ปี
ล่าสุด ศาลจังหวัดกระบี่ มีคำพิพากษาในคดีฆ่ายกครัว 8 ศพ ตัดสินประหารชีวิต จำเลย 1-6 คือ นายซูริก์ฟัต, นายคมสรรค์, นายอับดุลเลาะ, นายอรุณ, นายประจักษ์ และ นายธนชัย โดยระบุว่า แม้จำเลยทุกคนจะรับการสารภาพว่ากระทำจริง แต่ศาลเห็นว่ามีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์ จึงลงโทษประหารชีวิตและไม่มีเหตุให้ลดโทษ
ส่วน นายธวัฒชัย จำเลยที่ 7 ให้จำคุก 1 ปี 9 เดือน และ นางสาวชลิตา จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 12 เดือน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตหรือให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิต หากไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีนั้นไปยังศาลอุทธรณ์