พ่อเล่าให้ลูกสาวฟัง ชีวิต 15 ปี บนเรือกลางทะเล ถูกทำเหมือนไม่ใช่คน

พ่อเล่าให้ลูกสาวฟัง ชีวิต 15 ปี บนเรือกลางทะเล ถูกทำเหมือนไม่ใช่คน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ทินณะรัตน์ เพ็ชรพันธ์ศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรทองแสนขัน เชิญตัว นายเถลิง อายุ 54 ปี ให้เข้าพบหลังทราบข่าวว่า ใช้ชีวิตเร่รอนพเนจรออกจากบ้านไปเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน และถูกหลอกไปใช้แรงงานอยู่บนเรือประมงกลางอ่าวไทย อยู่ในพื้นที่จังหวัดพังงาเป็นเวลานานถึง 15 ปี

โดยมีหน้าที่ดึงเชือกลากอวนหาปลาและไม่ได้กลับเข้าฝั่งบนบก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติ พม่า กัมพูชาและลาว รวมจำนวนกว่า 60 คน  การใช้ชีวิตอยู่บนเรือเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการกินอยู่ สิ่งที่สำคัญไม่ได้รับค่าแรงสักบาทเดียว ยามเจ็บไข้ได้ป่วยขาดการดูแลที่ดี บางรายทำงานไม่ไหวถือว่าหมดประโยชน์ก็จะถูกจับโยนลงทะเลทันที

 ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์โดยตรง และเป็นนโยบายของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการปราบปราบขบวนการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย

นายเถลิง เดินทางมาพร้อมกับ นายกำจัด อายุ 79 ปี ผู้เป็นพ่อ เข้าพบและพูดคุยกับ พล.ต.ต.ทิณะรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ และใช้เวลาพูดคุยเป็นเวลานานเกือบ 30 นาที พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรทองแสนขัน นำตัวเข้ากรุงเทพฯทันที เพื่อเข้าพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อทำการขยายผลเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยตนเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเถลิง หนุ่มเคราะห์ร้ายรายนี้ ได้ออกจากบ้านที่บ้านแสนขัน อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ไปตั้งแต่ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2533 ช่วงอายุได้ 24 ปี เพื่อไปหางานทำที่จังหวัดระยอง ในตำแหน่งช่างเชื่อม และออกตะเวนหางานไปทั่วในพื้นที่หลายจังหวัด อาทิ สระบุรี ชลบุรี ระยอง สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ครั้งสุดท้ายที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยรับจ้างทำโครงสร้างอาคารโรงงานสับปะรดกระป๋องแต่ถูกผู้รับเหมาเบี้ยวค่าแรง จึงเลิกทำงานและเดินหางานไปเรื่อย

เมื่อถึงบริเวณแพปลาในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร พบกับชายไม่ทราบชื่อ สอบถามพร้อมชักชวนให้มาทำงานเป็นลูกเรือประมงออกทะเลหาปลา แจ้งว่าจะได้รับเงินเดือนละ 8,500 บาท จึงตอบตกลงไปทำงานด้วย และได้ขึ้นรถไปกับชายคนดังกล่าว พาไปลงที่จังหวัดพังงา มีผู้ร่วมโดยสารไปด้วยประมาณ 15 คน  เมื่อถึงที่พื้นที่จังหวัดพังงาแล้ว ได้เดินทางต่อด้วยเรือเล็กใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงถึงเรือประมงใหญ่

 เมื่อขึ้นบนเรือพบเห็นมีคนไทยคาดว่าเป็นผู้ควบคุม ทำการคัดแยกคนงานและแบ่งหน้าที่ให้กับทุกคนที่มาใหม่ ซึ่งนายเถลิงรับหน้าที่เป็นคนดึงเชือกลากอวนหาปลา มีไต๋กงเรือประมงเป็นหัวหน้าและควบคุมเรือ โดยภายในเรือมีลูกเรือรวมกับประมาณกว่า 60 คน  จะทำงานรอบละ 4 ชั่วโมง จะหยุดพักได้ก็ต่อเมื่องานเสร็จ บางวันก็ไม่ได้พักเลย และทำงานอยู่เป็นเวลา 15 ปี โดยที่ไม่ได้ค่าจ้าง

ต่อมาช่วงเดือนตุลาคม 2560 เรือดังกล่าว ได้จอดเข้าเทียบท่าเรือที่จังหวัดพังงา โดยมีเรือเล็กนำคนงานใหม่มาสับเปลี่ยนกับพวกของตนประมาณ 20 คน และได้นั่งเรือเล็กกลับเข้าฝั่งโดยที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากการทำงานประมงครั้งนี้ ซึ่งนายเถลิงเองก็ไม่คิดที่จะได้เงินค่าจ้าง เพียงคิดอยากกลับเข้าฝั่งเพื่อกลับบ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีเพียงชุดที่สวมใส่เพียงกางเกงขาก๋วยกับเสื้อแขนยาวใส่ติดตัวอยู่

เมื่อกลับถึงฝั่งพื้นที่จังหวัดพังงาโดยที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท อาศัยเดินไปยังปั้มน้ำมันและขออาศัยรถที่มาเติมน้ำมันเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯให้ใกล้ที่สุดเมื่อถึงจังหวัดนครปฐม จึงยึดอาชีพรับจ้างทำงานก่อสร้าง เพื่อหาเงินเดินทางกลับบ้าน พอมีเงินจำนวน 2,500 บาท ตัดสินใจซื้อรถจักรยานทันที

เพื่อปั่นถีบกลับบ้านที่ทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ด้วยระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร ปั่นวันละเกือบ 60 กิโลเมตร เป็นเวลา 15 วัน จึงถึงทองแสนขันที่บ้าน เหตุผลที่ต้องปั่นรถจักรยานกลับบ้าน เพราะบัตรประชาชนไม่มีถูกยึดโดยไต๋กงเรือ ทวงถามก็ปฏิเสธที่จะให้ จึงไม่อยากทวงอีก

ด้าน นายกำจัด ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ สอบถามลูกชายถึงการเดินทางไปทำงานบนเรือตังเกพื้นที่จังหวัดพังงา เดินทางไปกับใคร เรือที่รับส่งเป็นช่วงก่อนขึ้นเรือตังเกหาปลาใหญ่ชื่ออะไร รวมถึงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครจุดเริ่มต้นก่อนไปจังหวัดพังงา เป็นการหาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกดีใจที่ลูกชายได้กลับมาบ้านเหมือนถูกรางวัลที่ 1

ส่วนที่บ้านนายกำจัด พ่อของนายเถลิง มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานประกอบด้วย แรงงานจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดหางานจังหวัดอุตรดิตถ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุตรดิตถ์เข้าสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับ น.ส.นัทธมน บุตรสาว และนายกำจัด เพื่อหาทางช่วยเหลือนายเถลิงต่อไป โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่งงานที่นายเถลิง อยากได้ทำงานเป็นช่างเชื่อม เนื่องจากถนัดงานนี้มากที่สุด และอยู่ระหว่างตกงานยังไม่มีงานทำแต่อย่างใด

น.ส.นัทธมน กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดอายุได้ประมาณ 3 เดือน แม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพ่อก็หายตัวไปตั้งแต่อายุ 2 ขวบเศษ เป็นลูกเพียงคนเดียว มีคุณยายเลี้ยงดูมาระยะหนึ่งจากนั้นคุณปู่และคุณย่าก็นำมาเลี้ยงดูแลต่อ ไม่เคยพบและเห็นหน้าพ่อมาตั้งแต่เกิดเป็นเวลานานถึง 29 ปี ปัจจุบันอายุได้ 31 ปี รู้สึกดีใจที่ได้พบและเห็นหน้าพ่อ รู้ทราบจากญาติมาแจ้งบอกว่าพ่อกลับมาบ้านแล้ว

ทั้งที่ตนยังคิดอยู่ว่า "พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว" อาศัยเปิดดูรูปภาพในอัลบั้มงานแต่งระหว่างพ่อกับแม่ที่ปู่กับย่าเก็บรักษาเอาไว้ให้ ช่วงทำบุญใส่บาตรทุกวันพระมักจะอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับคุณพ่อและคุณแม่เสมอ ไม่คิดว่าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่

หลังจากทราบข่าวพ่อกลับมาแล้ว แต่วนเวียนอยู่บ้านญาติไม่ยอมเข้ามาบ้านลูก 2-3 วัน ด้วยความอยากเห็นหน้าพ่อจึงเดินทางไปหาพ่อ โดยพ่อแอบหลบอยู่บ้านญาติ เมื่อเจอกันรู้สึกน้ำตาไหลดีใจจนบอกไม่ถูก พ่อถามชื่อหนู ส่วนหนูก็ถามชื่อพ่อ เมื่อเห็นว่าใช่แล้วก็โผเข้ากอดพ่อ 

พ่อเล่าให้ฟังว่า อยู่บนเรือไม่มีทางเลือก เป็นชีวิตที่โหดมาก หากเจ็บไข้ได้ป่วยทำงานให้เขาไม่ได้ เขาก็จะไม่เอาไว้และจับโยนลงทะเลทันทีเพื่อเป็นอาหารให้กับปลา กระทำเหมือนไม่ใช่คน เป็นสิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่อยู่บนเรือกลางทะเลเป็นเวลานานถึง 15 ปี ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 15 ปี เป็นชีวิตที่ระหกระเหินทำงานยังสถานที่ต่างๆ ในหลายจังหวัด ตนรู้สึกสงสารพ่อที่พบเจอแต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายมาเยอะ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ พ่อเล่าให้ลูกสาวฟัง ชีวิต 15 ปี บนเรือกลางทะเล ถูกทำเหมือนไม่ใช่คน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook