เจ้าของเรือพานักดำน้ำยิงปลา โร่พบตำรวจ ยันแค่ถูกจ้างให้ออกทะเล

เจ้าของเรือพานักดำน้ำยิงปลา โร่พบตำรวจ ยันแค่ถูกจ้างให้ออกทะเล

เจ้าของเรือพานักดำน้ำยิงปลา โร่พบตำรวจ ยันแค่ถูกจ้างให้ออกทะเล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีที่เฟซบุ๊ก Tep Keerati ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายนักดำน้ำที่เดินทางมากับเรือท่องเที่ยวชื่อ โอ๊ตไดฟ์วิ่ง ลักลอบทำการยิงปลาหมอขนาดใหญ่กว่า 5 ตัว บริเวณท่าแพ ซึ่งเป็นจุดดำน้ำดูปะการัง ของเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ตามที่รายงานข่าวไปแล้วนั้น

ทางเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ได้ตรวจสอบพบว่าเป็นความจริง จึงได้เข้าแจ้งความเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากน้ำชุมพร ติดตามนักดำน้ำทั้งสองคนมาดำเนินคดี ตาม พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 16 (3)ห้ามมิให้บุคคลใด นำสัตว์ออกไปหรือทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ และ มาตรา 16 (15)ห้ามมิให้บุคคลใด นำเครื่องสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆเข้าไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตนั้นกำหนดไว้ ตามกฎหมาย

ล่าสุดที่ สำนักงาน ททท.ชุมพร นางวิริยา แก่นแก้ว ผอ.ททท.ชุมพร เปิดเผยว่า ทราบข่าวดังกล่าวด้วยความสลดใจ แต่คิดว่าคงไม่กระทบกับการท่องเที่ยวทางทะเลของ จ.ชุมพร แต่อย่างใด เนื่องจาก ททท.ชุมพรได้มีกิจกรรม ในการสร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวที่มาทองเที่ยวชุมพร

โดยเฉพาะการดำน้ำ ในมีความเข้าใจในธรรมชาติใต้ท้องทะเล รวมถึงกิจกรรมการเก็บขยะใต้ท้องทะเลอยู่สม่ำเสมอ รวมถึงการสร้างกลุ่มมวลชนเพื่อระวังการทำลายแหล่งท่องเที่ยว โดยทำงานร่วมกับอุทยานหมู่เกาะชุมพร การยิงปลาของนักดำน้ำสกูบ้าที่ชุมพร ถือว่าเป็นการทำลายห่วงโซ่อาหารที่สำคัญ

ต่อมา นางวิยะดา ได้เดินทางมาพร้อมกับนำเอกสารเกี่ยวกับเรือ โอ๊ตไดฟ์วิ่ง ที่ปรากฏในภาพข่าวมาแสดงต่อรุดเข้าพบ ร.ต.อ.อุทัยศิลป์ แสงโทโพธิ์ รอง สว.สอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร เจ้าของคดี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องออกหมายเรียก

นางวิยะดา เปิดเผยว่า เรือโอ๊ตไดฟ์วิ่ง ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ยอมรับว่าเป็นเรือของตนจริง โดยเรือลำดังกล่าวจดทะเบียน มีใบคุมเรือถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างจากนายทะเบียนกรมเจ้าท่า และเรือลำดังกล่าว นายบำรุงซึ่งเป็นสามีของตน ได้นำไปจดใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศน์สาขาภาคกลาง เขต 3 ของกรมการท่องเที่ยว มี พรบ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ประเภทเฉพาะพื้นที่ โดยใช้ชื่อเป็นภาษาไทย ว่า ธวัชชัยไดฟ์วิ่ง

นางวิยะดา กล่าวว่า และเมื่อวันเกิดเหตุได้มีนักท่องเที่ยว 2 คน ได้มาเช่าเรือ โอ๊ตไดฟ์วิ่ง เพื่อออกไปดำน้ำดูปะการัง โดยสามีของตน ทำหน้าที่เป็นนายท้าย ควบคุมเรือลำดังกล่าวออกไปด้วยตนเอง ส่วนสามีจะนำนักท่องเที่ยวออกไปดำน้ำที่ไหนนั้น ตนเองก็ไม่ทราบ

ทั้งนี้ก็ไม่ทราบด้วยว่า นักท่องเที่ยวที่เช่าเรือออกไปนั้นไปก่อเหตุอะไรบ้าง จนกระทั่งเห็นเป็นข่าว ตนจึงได้เดินทางมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากตนเป็นเจ้าของเรือ ซึ่งไม่รู้ไม่เห็นในการกระทำของนักท่องเที่ยวทั้งสองแต่อย่างใด

นางวิยะดา ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนนักท่องเที่ยวที่ดำน้ำแล้วไปยิงปลาในเขตอุทยานฯนั้น ตนก็ให้พนักงานสอบสวน ต้องสอบปากคำจากนายบำรุง ซึ่งขณะนี้ได้มีทีมนักวิจัยได้เช่าเหมาเรืออีกลำเป็นเวลา 3 วัน เพื่อไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรสัตว์น้ำและจะกลับเข้ามาอีก 2 วัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook