แป๋ง ช็อคร้องไห้สงสารลูก! ไม่เชื่อเป็นหนี้ขั้นพันล้าน-ฝากขังกันต์กนิษฐ-สามี

แป๋ง ช็อคร้องไห้สงสารลูก! ไม่เชื่อเป็นหนี้ขั้นพันล้าน-ฝากขังกันต์กนิษฐ-สามี

แป๋ง ช็อคร้องไห้สงสารลูก! ไม่เชื่อเป็นหนี้ขั้นพันล้าน-ฝากขังกันต์กนิษฐ-สามี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฝากขังลูกสาว-ลูกเขย"ปิยะ อังกินันทน์"เรือนจำสมุทรสาคร ไม่ให้ประกัน "แป๋ง"รับช็อค ดีใจลูกยังไม่ตาย แต่สงสารนอนไม่หลับ-ร้องไห้ทั้งคืน ไม่เชื่อหนี้เป็นพันล้าน บิ๊กกองปราบฯ ชี้คนมีสีอยู่เบื้องหลัง เตรียมซิวยกแผง ตร.ระนอง เชื่อทำเป็นขบวนการ มีทั้ง จนท.รัฐ ชาวบ้าน รอรวมหลักฐานขอหมายจับแจ้งเท็จ

จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามบุกจับกุม นางปานจิต หรือกันต์กนิษฐ ชิ้นศิริ หรือ อังกินันทน์ อายุ 48 ปี บุตรสาวนายปิยะ หรือแป๋ง อังกินันทน์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี ซึ่งสวมรอยเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิและทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าเพื่อหลบหนีคดีที่บ้านพัก ถนนนราธิวาสราชครินทร์ ทุ่งมหาเมฆ แขวงสาทร กรุงเทพฯ พร้อมกับนายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 47 ปี สามี ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยถูกกล่าวหาถึง 63 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 8,241 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมานั้น

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดพนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ส่ง พ.ต.ท.ไพศาล สังข์เทพ ร้อยเวร สภ.เมืองสมุทรสาคร เจ้าของคดี โดยมีญาติผู้ต้องหามาขอเยี่ยมและขอยื่นประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสอง แต่พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากที่ผ่านมามีพฤติกรรมหลบหนีโดยตลอด จากนั้นสอบสวนเพิ่มเติมก่อนนำไปขออำนาจศาลจังหวัดสมุทรสาครฝากขัง ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด โดย พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ ชูนาค ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร มีคำสั่งขอกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการชิงตัวผู้ต้องหา ต่อมาศาลจังหวัดสมุทรสาครมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง 6 วัน และไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองนำตัวส่งคุมขังที่เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร

ด้านนายปิยะ หรือแป๋ง อังกินันทน์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพชรบุรี เปิดเผยภายหลังนางปานจิต หรือกันต์กนิษฐ์ บุตรสาวถูกจับกุมว่า ยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกดีใจที่นางปานจิตยังมีชีวิตอยู่ มีลูกสาวเพียงคนเดียวและรักมาก ส่วนรายละเอียดยังไม่ได้พูดคุยกับบุตรสาวและนายชาญชัยลูกเขย ส่วนกรณีมีหนี้สินกว่า 8,000 ล้านบาท บางกระแสระบุว่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาทนั้น เท่าที่ทราบก่อนหน้านี้ นางปานจิตและสามีมีหนี้สินกับเจ้าหนี้ที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรสงครามเพียงไม่กี่ 10 ล้านเท่านั้น หากมีมากกว่านี้ น่าจะเป็นหลักร้อยล้าน ไม่น่าจะถึงหลักพันหรือหมื่นล้านบาท

"ทราบเพียงว่า อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อเคลียร์หนี้สินดังกล่าว ตัวเลขหนี้สินน่าจะเกิดจากคดีเก่าๆ ที่นายชาญชัยสร้างไว้และตกเป็นบุคคลล้มละลายก่อนหน้านี้ ตลอดคืนที่ผ่านมาผมนอนไม่หลับร้องไห้เพราะสงสารลูก แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม คาดว่าจะเจรจาปัญหาหนี้สินกับเจ้าหนี้ทั้งหมดได้ ขณะนี้ผมยังจะไม่ไปเยี่ยมเพราะไม่อยากเห็นสภาพของลูกสาวขณะเป็นผู้ต้องหา แต่จะหาจังหวะไปเยี่ยมในโอกาสที่เหมาะสม" นายปิยะกล่าว

เวลา 11.30 น. พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.บก.ป.) กล่าวว่าให้สืบสวนขยายผลประเด็นเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการไปขอมีบัตรประชาชนหรือทำเรื่องที่หน่วยงานราชการว่าเข้าข่ายความผิดฐานการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ รวมทั้งขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดหรือให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่ด้วย

"ในส่วนของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนเชื่อว่าน่าจะมีความรู้เรื่องการรวบรวมหลักฐานพอสมควร ที่สำคัญตัวเจ้าหน้าที่รัฐหากพบว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดไม่สามารถรอดพ้นการดำเนินคดีไปได้ จากนี้ไปผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ออกบัตรหรือเอกสารต่างๆ ให้กับผู้ต้องหา หรือมีเจ้าหน้าที่รายใดให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาต้องถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้" ผบก.ป.กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป ซึ่งได้รับมอบหมายให้สอบสวนขยายผล กล่าวว่า ส่ง 2 ผู้ต้องหาดำเนินคดีตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาครในคดีร่วมกันฉ้อโกง ส่วนคดีตามหมายจับอีกหลายสิบหมายนั้นจะประสานตำรวจท้องที่นั้นๆ ตรวจสอบว่าคดีหมดอายุความแล้วหรือไม่ หากยังไม่หมดอายุความก็ให้ทำเรื่องอายัดตัวไปดำเนินคดีต่อ

"จะขยายผลเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานกรณีจัดฉากการเสียชีวิตให้กับนางกันต์กนิษฐ์ โดยจะประสานพยานหลักฐานกับตำรวจ สภ.ปากน้ำ จ.ระนอง ท้องที่เกิดเหตุและให้เป็นผู้ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับการสวมบัตรประชาชนผู้อื่นจะทำหนังสือถึงต้นสังกัดเจ้าของบัตรประชาชนแต่ละใบเพื่อตรวจสอบหากพบว่ามีผู้กระทำผิดจะให้ต้นสังกัดนั้นๆ เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี"

พ.ต.อ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า การสืบสวนมีผู้เข้าให้ข้อมูลเบาะแสอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งผู้ที่ให้การช่วยเหลือไม่ว่าจะช่วยเหลือไม่ให้ถูกจับกุม การถ่ายโอนทรัพย์สิน หรือหาที่อยู่อาศัยให้ก็จะถูกตรวจสอบด้วย ซึ่งในเบื้องต้นมีผู้ให้เบาะแสว่ามีคนมีสีทั้งสองสีเกี่ยวข้อง

"มีผู้เสียหายจากหลายธนาคารเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.บางซื่อ ให้ดำเนินคดีกับนายชาญชัย แต่ในคดีดังกล่าวนายชาญชัยใช้ชื่อนายพงศวิทย์ ศรีวิทยพงศ์ ทำธุรกรรม ซึ่งทางพนักงานสอบสวนบางซื่อขออนุมัติหมายจับแล้วและจะอายัดตัว ส่วนเรื่องเงินสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันชีวิตทั้งสองแห่งได้จ่ายไปแล้วนั้นทางบริษัทจะได้นำหลักฐานจากตำรวจไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง" ผกก.5 บก.ป.กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบของกลาง 33 รายการ ที่ยึดมาได้ที่บ้านพักนายชาญชัย ย่านยานนาวา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอกสารเสีย โดยเฉพาะบัตรประชาชนที่มีชื่อของผู้อื่น เมื่อตรวจสอบทางข้อมูลทะเบียนราษฎรที่พบเชื่อว่ามีตำรวจบางคนนำมาให้ผู้ต้องหาทั้งสอง เตรียมไว้เพื่อที่จะใช้เปลี่ยนชื่อนามสกุลอีก โดยเฉพาะนายชาญชัยพบเปลี่ยนชื่อแล้ว 5 ครั้ง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะนำไปรวมกับข้อมูลการสวมบัตรประชาชนของนางกันต์กนิษฐ์ ตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดมีส่วนร่วมกระทำผิดหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจกำลังตรวจสอบบัตรประชาชนของนางกันต์กนิษฐ์ที่มีภาพนางกันต์กนิษฐ์ แต่กลับใช้ชื่อ น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง แจ้งเกิดเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2510 อยู่บ้านเลขที่ 147 หมู่ 7 ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ออกเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2548 ส่วนอีกใบเป็นบัตรประชาชนของนายชาญชัย ชิ้นศิริ ที่ใช้ชื่อว่า นายสมพร มาลา เกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2513 อยู่บ้านเลขที่ 48 หมู่ 2 ต.นาสว่าง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ออกเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2548 ซึ่งบัตรประชาชนทั้งสองใบมีการใช้ชื่อนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ เป็นเจ้าพนักงานออกบัตร และยังตรวจสอบบัตรประจำตัวของนายชาญชัยที่ กอ.รมน.ออกให้ในชื่อ จนท.พงศวิทย์ ศรีวิทยพงศ์ พบว่าเป็นบัตรที่ กอ.รมน.ออกให้จริง จึงเตรียมเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกบัตรมาสอบสวนด้วยเช่นกัน

ด้าน พ.ต.อ.วีรศิลป์ ขวัญเซ่ง ผกก.สภ.ปากน้ำ จ.ระนอง กล่าวว่า ขณะนี้ทำหนังสือด่วนถึง สภ.เมือง สมุทรสาคร เขตพื้นที่ที่นางกันต์กนิษฐ์ถูกจับกุมเพื่อขอรายละเอียด มารวบรวมข้อมูลเพื่อออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งความเท็จ สันนิษฐานว่าจะต้องดำเนินการเป็นขบวนการ มีการวางแผนการทำงานที่ซับซ้อน อาศัยช่องว่างของเหตุการณ์ และกฎหมายในการกระทำผิด จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงชาวบ้านในเขตพื้นที่จ.ระนอง กี่คนเข้าไปเกี่ยวข้องที่จะถูกออกหมายจับนั้น คงต้องใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อีกระยะ

ด้านพระครูรณังคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองระนอง และเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวิหาร กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มชาย 3-4 คน อ้างนำศพนางกันต์กนิษฐ์มาเผาที่วัดเมื่อประมาณปี 2548 ว่ามีชายผู้หนึ่งน่าจะนำเอกสารปลอมเป็นลักษณะหนังสือทางราชการ เป็นการร้องขอให้ทางวัดดำเนินการให้ไปก่อน เนื่องจากทางอำเภออยู่ในระหว่างการปรับปรุงฐานข้อมูล เห็นว่าเป็นหนังสือราชการและไม่ได้คิดเฉลียวใจจึงได้ออกใบรับรองการเผาให้กับกลุ่มชายดังกล่าว

นายจรูญ เทพณรงค์ สัปเหร่อวัดสุวรรณคีรีวิหาร กล่าวว่า ตรวจสอบหลักฐานไม่ปรากฏชื่อนางกันต์กนิษฐ์ตามที่กล่าวอ้าง จึงสันนิษฐานได้ว่าไม่มีการนำศพผู้ใดทั้งสิ้นมาเผา มีเพียงแต่การสร้างหลักฐานเท็จเพื่อไปกระทำการบางอย่างเท่านั้น

ด้านนายธีรยุทธ คงคล้าย ปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนและบัตร ที่ว่าการอำเภอเมือง จ.ระนอง กล่าวว่า ตรวจสอบทางระบบคอมพิวเตอร์พบว่ามีการออกใบมรณบัตรให้นางกันต์กนิษฐ์จริง แต่เจ้าหน้าที่กำลังค้นหาต้นขั้วของเอกสารที่นำมายื่นใช้เป็นหลักฐานว่ามีเอกสารอะไรบ้าง หากตรวจพิสูจน์ทางคดีอย่างเป็นทางการว่าแจ้งการตายโดยมิชอบก็ต้องยกเลิกใบมรณบัตร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook