29 ปีที่ครองมงกุฎ “ยลดา รองหานาม” อดีตนางสาวไทยที่มองว่าตัวเองไม่เหมาะกับวงการบันเทิง
ปี พ.ศ. 2531 คนไทยได้ร่วมยินดีกับนางงามจักรวาลคนที่ 2 ของประเทศไทยคือ “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์” ผู้คนต่างให้ความสนใจกับวงการนางงามมากขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 มีสาวงามได้ครอบครองมงกุฎอันทรงคุณค่าจากเวทีนางสาวไทย แต่คนในประเทศแทบไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเธอเลย นับตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจในการดำรงตำแหน่ง จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว ที่ชื่อของ “น้อง ยลดา รองหานาม” เริ่มเลือนหายจนเกือบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
ปัจจุบัน “น้อง ยลดา” ใช้ชีวิตคู่กับสามี “กฤษณะ วจีไกรลาศ” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฝีมือเก่งกาจ มีธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรที่คนแถบจังหวัดนนทบุรีรู้จักกันดี เมื่อเจอเธออีกครั้งในบทบาทของคุณแม่ลูก 3 ดูภายนอกเหมือนเวิร์กกิ้งวูแมน ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสวยเท่าไหร่นัก
แต่พอได้พูดคุย จึงรู้ว่าเธอยังคงเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ทางคำพูดเสมอ เราจึงชวนเธอมารำลึกเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วันที่ได้รับตำแหน่ง นางสาวไทยประจำปี พ.ศ. 2532
ความกดดันที่มาพร้อมกับความปลื้มใจในวันได้รับตำแหน่งนางสาวไทย เกิดขึ้นเมื่อ “น้อง ยลดา” ตัดสินใจใช้ช่วงเวลาปิดเทอมหาประสบการณ์ เธอคือผู้หญิงที่ถนัดเรื่องกีฬามากกว่าความสวยความงาม ถ้าพูดอย่างเข้าใจง่ายๆ เธอไม่ใช่ตัวเต็ง ที่สำคัญช่วงเวลาพิธีกรประกาศชื่อว่าเธอได้ตำแหน่ง ยังมิวายถูกมองว่ามั่นใจเกินไป เหมือนคนที่รู้มาแล้วว่าจะได้ครองมงกุฎ งานนี้เธอพร้อมจะให้ความกระจ่างถึงเหตุการณ์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว
“คุณพ่อคุณแม่เราไม่เคยเห็นข่าวลูกสาวเลย เพราะในรุ่นเราที่ประกวดดาวเด่นเยอะมาก และที่สำคัญคุณแอน เพชรรัตน์ (รองอันดับ 1) เราก็เชียร์เขาอยู่ เขาหน้าสวยมาก แต่ ณ ตอนนั้นเราคิดว่าเราทำให้ดีที่สุด สู้เต็มที่ ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราชิลๆ เลยกลายเป็นว่าเราไม่มีแรงกดดัน พอเข้ารอบ 10 คน ก็ตกใจที่มีชื่อเรา และยังได้ขวัญใจช่างภาพด้วย
พอเหลือเรากับคุณแอน 2 คนสุดท้าย ตอนนั้น มีคนสงสัยว่าทำไมเราดูมั่นใจมาก มีการพยักหน้า และเราก็จูงมือแอนเดิน บอกตรงๆ เลยว่า ตอนนั้นคิดแค่ว่าการประกวดจะจบแล้ว ไม่ได้อยู่บ้านมา 1 เดือน คิดถึงพ่อแม่มาก การแสดงออกเลยเหมือนคนมั่นใจ พอประกาศคนที่ได้ตำแหน่งเป็นชื่อเรา เราก็สงสัยว่า เอ๊ะ ประกาศรองอันดับ 1 หรือเปล่า และตอนนั้นบางคนอาจจะไม่เห็นเราย่อ หรือไหว้ เพราะตอนซ้อมเราไม่ได้ดู (หัวเราะ) ต้องขออภัยด้วย คือเราคิดว่าคนสวยๆ เยอะจริงๆ”
เธอเล่าถึงวินาทีได้ครองมงกุฎอย่างเฮฮา ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกรื่นหู เหมาะสมกับอาชีพพิธีกร ที่เธอการันตีว่าเป็นอาชีพที่เธอถนัดที่สุด แต่นั่นคืออดีต เพราะปัจจุบัน “น้อง ยลดา” หันหลังให้กับวงการบันเทิง เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัวสามีมูลค่ามหาศาล
“ธุรกิจหลักคือทำหมู่บ้านจัดสรร ชื่อ โครงการบัวทองธานี ตอนนี้รีแบรนด์ใหม่เป็น BTN Property อยู่ในโซนจังหวัดนนทบุรี ตอนนี้มีหลายหมื่นหลังแล้ว ทางครอบครัวของสามีทำมา 30 จะ 40 ปีแล้ว”
หากมองในแง่ของมูลค่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอเลือกธุรกิจของครอบครัวเป็นหลัก มากกว่างานในวงการ และด้วยความที่มีความคิดชัดเจนในการดำเนินชีวิต เราจึงไม่ได้เห็นเธอโลดแล่นในวงการบันเทิงอีกเลย
“เรามีแนวทางชัดเจนตั้งแต่วันที่ได้ตำแหน่ง เรายินดีน้อมรับกับตำแหน่ง แต่เราคิดอยู่เสมอว่าตรงนี้เหมือนเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้มาอยู่ในวงการบันเทิง แต่ไม่เคยคิดจะยึดเป็นอาชีพ เพราะคนที่ทำงานในวงการบันเทิงต้องมีอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งเราอาจจะไม่ได้มีทั้งหมด เราไม่รับละคร ไม่รับหนัง อะไรที่ต้องใช้เวลาและต้องแสดงเป็นคนอื่น แต่จะเห็นเราบ่อยๆ ในฐานะพิธีกร ตอนได้ตำแหน่ง เราไม่ได้ดรอปเรียน ก็เรียนจนจบและไปสมัครงานด้านอสังหาริมทรัพย์ บางคนอาจจะประกวดเพื่อโอกาสในการทำงานต่างๆ ทุกสิ่งคุณเลือกเอง แต่พอคุณได้งานและไม่ทำโอกาสตรงนั้นให้ดี งานก็จะไม่อยู่กับคุณ นี่คือเหตุผลที่เราไม่ได้อยู่ในวงการ
บางคนอาจจะจำเราไม่ได้เพราะเราดูแลลูกซะจนลืมดูแลตัวเอง ตัดผมสั้น และเป็นคนไม่แต่งหน้าอยู่แล้ว บุคลิกจะเป็นเอกลักษณ์เลย ทัศนคติเรื่องความงามของเราบางคนอาจจะงงๆ โอกาสที่จะกลับมาในวงการบันเทิงน่าจะน้อย เพราะวงการบันเทิงไม่ใช่เส้นทางของเรา”
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับผู้ที่คิดถึงเธออาจจะใจหาย แต่เธอแอบกระซิบบอกเราว่า หากมีงานที่ผู้ใหญ่หรือเพื่อนพ้องในวงการอยากให้ช่วยงานพิธีกร แน่นอนว่าเธอพร้อมให้ความร่วมมือ
เมื่อเธอได้เลือกเส้นทางชีวิต ที่เป็นเหมือนเส้นขนานกับวงการบันเทิง ลูก คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้ บทบาทแม่ คืออาชีพที่เธอทำอยู่ทุกๆ วัน หลังจากมีลูก 3 คน สามี ให้เธองดงานทุกอย่างเพื่อดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่ จึงไม่แปลกที่จะเห็นเธอตามโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยของลูกๆ
“ครอบครัวเราแบ่งบทบาทการดูแลลูกชัดเจน สามีจะเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ตั้งแต่เรารู้จักเขา 20 กว่าปีมาแล้ว ยังเหมือนเดิมคือเขาเป็นนักวางแผน ทุกๆ แผนเกิดจากความรักความเข้าใจของคนในครอบครัว ลูกชายคนโต กษิดิศ วจีไกรลาศ อายุ 23 ปี จบมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ด้านวิศวกรรมโยธา ตอนนี้ต่อโทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ธรรมศาสตร์ คนที่สอง กวิสรา วจีไกรลาศ อายุ 21 ปี เรียนด้านสถาปัตยกรรมออกแบบและบริหารควบด้วย ตอนนี้ต่อโทด้านไฟแนนซ์ คนที่ 3 กวินนาถ วจีไกรลาศ อายุ 19 ปี เรียนสถาปัตยกรรมผังเมือง
ตอนลูกเด็กๆ ทุกคนจะเห็นเราอยู่ตามโรงเรียนลูกเลย การคุยกับลูกก็ต้องเลือกคุย คนนี้อาจจะใจเย็น คนนี้อาจจะใจร้อน และตอนนั้นลูกๆ ไปเห็นสิ่งที่พ่อและอากงทำ ไปออกบูธกับพนักงาน แจกโบรชัวร์ ให้เขาเห็นว่ากว่าจะได้สิ่งที่เราอยากได้ เราต้องลงแรง ลงทุน และทำงานให้ได้ และหลักการสอนลูกในยุคปัจจุบัน การเสพสื่อในอินเทอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วมาก เราจะบอกลูกเสมอว่าเสพได้แต่ไม่ต้องจริงจัง ไม่ต้องหัวแข็งกับสิ่งเหล่านั้น”
การศึกษาของลูกแต่ละคน แสดงให้เห็นแล้วว่า การซึมซับสิ่งที่ครอบครัวสร้างมาตั้งแต่เด็ก มีผลต่อการตัดสินใจมากแค่ไหน เธอบอกกับเราอีกว่า การสอนลูกไม่ใช่การพูดอย่างเดียว แต่ต้องมีการทำให้ดูเป็นตัวอย่างและพร้อมที่จะรับฟังลูกเสมอ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การสอนให้ลูกคิดเองได้ เลี้ยงให้เหมือนเพื่อน นี่คือแนวทางการเลี้ยงลูกที่ “น้อง ยลดา” ปฏิบัติเสมอมา
ในวันนี้ “น้อง ยลดา” ในวัย 48 ปี ผู้ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปเนิ่นนาน ได้กลับมาเรียกความทรงจำเก่าๆ ให้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เธอยังคงเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมในการตอบคำถาม มีความมุ่งมั่น และมีความคิดเป็นของตัวเอง เหมือนดั่งวันแรกที่เราได้รู้จักเธอในนามเจ้าของตำแหน่งนางสาวไทย ปี พ.ศ. 2532
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ