ช็อกทั้งอำเภอ พระชื่อดัง เจ้าคณะอำเภอฯ ลาสิกขาปริศนา หลังมีข่าวหนีเที่ยวคาราโอเกะ

ช็อกทั้งอำเภอ พระชื่อดัง เจ้าคณะอำเภอฯ ลาสิกขาปริศนา หลังมีข่าวหนีเที่ยวคาราโอเกะ

ช็อกทั้งอำเภอ พระชื่อดัง เจ้าคณะอำเภอฯ ลาสิกขาปริศนา หลังมีข่าวหนีเที่ยวคาราโอเกะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (1 พ.ค.) ที่ จ.นครพนม หลังมีข่าวทางสื่อโซเชียลว่ามีพระชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดดังแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลตำบลท่าอุเทน และยังเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอท่าอุเทน  หนีเที่ยวร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา 

จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร ไปตรวจสอบและจำได้ว่าเป็นพระเจ้าคณะอำเภอชื่อดัง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งเคยไปรับราชการในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จึงมีการประสานงานตรวจสอบ ทั้งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน และมีการสอบถามไปยังคนในพื้นที่

ยืนยันว่าเป็น พระมหาสมัย อายุ 46 ปี เจ้าอาวาสวัดไตรภูมิ ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม และยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอท่าอุเทน แต่อยู่ในชุดฆราวาส อีกทั้งยังเข้าไปเที่ยวร้านคาราโอเกะ จึงได้ตรวจสอบเป็นหลักฐาน พร้อมแจ้งไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการทางวินัยสงฆ์ แต่ไม่ได้ควบคุมตัวเนื่องจากไม่ได้กระทำผิดทางกฎหมาย

ภายหลังมีข่าวแพร่ไปทางโซเชียล ทางผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทราบว่า หลังเกิดเรื่อง พระมหาสมัย ได้เดินทางไปลาสิกขาโดยไม่ทราบสาเหตุ กับทางพระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม เจ้าคณะจังหวัดนครพนม ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

แต่ไม่มีใครเปิดเผยถึงเหตุผล และยังหายตัวปริศนาไม่กลับวัด รวมถึงสอบถามไปทางญาติพี่น้อง ยืนยันว่าไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย สร้างความแปลกใจให้กับชาวบ้านทั้งอำเภอ รวมถึงคนที่เคารพนับถือเป็นอย่างมาก เนื่องจาก พระมหาสมัย ถือเป็นพระนักพัฒนาที่มีชื่อเสียง เป็นที่รักใคร่เคารพศรัทธาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

และใช้ชีวิตในเส้นทางธรรมมาตลอด บวชเรียนมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ศึกษาหาความรู้ด้านพระธรรมวินัย มานานกว่า 40 ปี จนกระทั่งจบการศึกษาชั้น เปรียญธรรม 7 โดยมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด และพัฒนาทะนุบำรุงวัดมานานเกือบ 20 ปี และได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอตั้งแต่ปี 2550  

ล่าสุด ทางด้าน นายสุพจน์ คงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครพนม ได้ระบุถึงแนวทางในการตรวจสอบว่า หลังเกิดเรื่องได้มีการตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริง แต่ทางพระเจ้าอาวาสได้ลาสิกขาออกไปแล้ว ถือว่าจบกระบวนการ มีสามารถที่จะเอาผิดและถือว่าไม่มีความผิดทางวินัยสงฆ์แล้ว 

จากนั้นในการดำเนินการจะเป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่กำกับดูแลตามหน้าที่ ทำการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ว่าสูญหายหรืออยู่ครบหรือไม่ รวมถึงเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะตำบลที่จะมีอำนาจตั้งรักษาการเจ้าอาวาสมาดูแล

ด้าน นางอิมอร บุพศิริ อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ชุมชนวัดไตรภูมิ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เปิดเผยว่า สำหรับ พระมหาสมัย ถือว่าเป็นนักพัฒนา เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน ในพื้นที่ รวมถึงลูกศิษย์ มาหลาย 10 ปี  ซึ่งจากประวัติส่วนตัว ท่านบวชสามเณรมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพราะบ้านเกิดเป็นคน ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จนกระทั่งได้รับตำแหน่งถึงเจ้าอาวาส และเจ้าคณะอำเภอ

ที่ผ่านมายืนยันเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคยมีเรื่องประวัติเสื่อมเสียทุกด้าน แต่พอชาวบ้านทราบข่าวลักษณะนี้ว่าหนีเที่ยว ชาวบ้านไม่ได้ติดใจอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรให้วัดเสียหายร้ายแรง แต่คงเป็นชะตากรรมหรือเป็นปัญหาส่วนตัว และคิดสั้นชั่ววูบ

พอหลังมีเรื่องได้ลาสิกขา เพราะท่านคงสำนึกได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวบ้านพูดถึงคือ เสียดายความรู้ความสามารถที่ได้สร้างมา หลังมีข่าวออกไปไม่ได้กลับเข้าวัดไม่ได้ติดต่อมาเลย ขนาดลูกหลานที่มาบวชเรียนด้วยยังไม่มีการติดต่อ ยอมรับว่าเรื่องนี้ช็อกทั้งอำเภอ แต่ยืนยันว่าทรัพย์สินเงินทอง รวมถึงทรัพย์สมบัติของวัดไม่ได้เสียหาย เพราะมีคณะกรรมการดูแลทั้งหมด

ส่วน สามเณรโอม อายุ 15 ปี หลานชายเจ้าอาวาสที่บวชเรียนในวัด เปิดเผยว่า วันเกิดเรื่องได้เดินทางขึ้นรถไปกับเจ้าอาวาสจริง ออกจากวัดเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 26 เม.ย.โดยมีญาติเป็นคนขับรถ และมีสามเณรในวัดเดินทางไปด้วยอีกรูปหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน เพียงแต่ชวนไปด้วย แจ้งว่าจะไปทำธุระส่วนตัว 

จากนั้นได้นั่งรถไปถึง จ.มุกดาหาร แต่ไม่ได้ยินว่าติดต่อกับใครในรถ จากนั้นจึงพากันหลับไม่ได้สนใจอะไรมาก จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีมาถึงวัด จึงพากันขึ้นไปนอนที่กุฏิไม่ได้สนใจว่า เจ้าอาวาสไปไหน จนกระทั่งมาทราบข่าวในวันต่อมา ว่าเจ้าอาวาสลาสิกขาแล้ว ตอนแรกไม่เชื่อ จนมารู้ว่าท่านไม่อยู่แล้ว จึงรู้ว่าเรื่องจริง

ด้าน นายศุภโชค เทียนทอง วัฒนธรรมอำเภอท่าอุเทน เปิดเผยว่า ส่วนหนึ่งตนเชื่อว่า ท่านคงหมดบุญในทางธรรม ทำให้เกิดกิเลสตันหา เกิดอารมณ์ชั่ววูบ ตัดสินใจไปเที่ยวในสถานบันเทิง ทั้งนี้ ยอมรับว่าชาวบ้านยังรับไม่ได้และช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะประพฤติตนผิดวินัยสงฆ์ แต่ส่วนหนึ่งอยากให้สังคมนึกถึงความดีงามที่ท่านสร้างไว้ เพราะหลังเกิดเรื่องถือว่าท่านได้สำนึก และมีสปิริตพอ จึงได้ลาสิกขา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook