นสพ.ดูไบแฉทักษิณหนีไปกบดานแอฟริกา
ชาวมุสลิมยื่นหนังสือต่ออุปทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขอให้ยุติการให้ที่พักพิง ทักษิณ หลังใช้รัฐดูไบเป็นที่ยุยงคนไทยแตกแยก อภิสิทธิ์ ควง สุเทพ เข้าทำเนียบฯ เชิญทูตทุกประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริงกรณีคนเสื้อแดงจลาจลกลางกรุง แต่ไม่มีทูตนิคารากัวเหตุไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต กก.สิทธิฯขอบคุณรัฐบาล-กองทัพระงับเหตุชุมนุมสมศักดิ์ศรี
วันนี้ (16 เม.ย.) ที่บริเวณหน้าอาคารซิติ้แบงก์ ถนนสาธร ชาวมุสลิมในราชอาณาจักรไทย ประมาณ 300 คน นำโดย นายภักดี มะแอ รวมตัวกันนำหนังสือเรียกร้อง ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ มายื่นให้กับ นายมูหะมัดยูซุป มูฮะมัด อุปทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รักษาการเอกอัครราชทูต เพื่อขอให้ยุติการให้ที่พักพิงแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้รัฐดูไบเป็นสถานที่บัญชาการยุยงปลุกปั่นให้คนไทยเกิดความแตกแยกและรังเกียจซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ บรรยากาศในการรวมตัวในครั้งนี้เป็นไปอย่างสงบ พี่น้องมุสลิมรวมตัวกันเพื่อแสดงพลังและชูป้ายผ้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดทำร้ายประเทศไทย
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวมุสลิมไม่พอใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้หลบหนีคดีและหนีโทษจำคุกอยู่ที่รัฐดูไบนั้น เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 13 เม.ย.ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้การปลุกปั่นของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ก่อจลาจลาหลายจุดในกรุงเทพมหานคร และได้บุกเข้าทำลายมัสยิดในซอยเพชรบุรี 7 ย่านอุรุพงษ์ด้วย ซึ่งถือเป็นการทำร้ายชาวมุสลิมทั่วโลก
นสพ.ดูไบแฉทักษิณหนีไปกบดานแอฟริกา
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หนังสือพิมพ์ 7เดย์สของดูไบ เผยแพร่ข่าวระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเดินทางออกจากดูไบ เพื่อไปยังจุดหมายอื่น ที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยในแอฟริกา แม้ว่าทางการไทยจะยกเลิกพาสปอร์ตของเขาแล้วก็ตาม
โฆษกส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกหมายจับในประเทศไทย เผยกับหนังสือพิมพ์รายวันท้องถิ่นว่า "รัฐบาลสามารถพูดอะไรที่ต้องการก็ได้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดพวกเราได้เช่นกัน คนไทยทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีหนังสือเดินทาง ซึ่งไม่สามารถยกเลิกได้ง่ายดายเช่นนี้"
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เพิกถอนพาสปอร์ตของอดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนเขาก่อเหตุจลาจลจนทำให้ต้องยกเลิกการประชุมสุดยอด ผู้นำอาเซียนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ รัฐบาลนิการากัวออกมายอมรับว่าได้มอบพาสปอร์ตเจ้าหน้าที่การทูตให้แก่อดีตผู้นำรายนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสมือนทูตสำหรับภารกิจพิเศษ ในการช่วยดึงนักลงทุนมายังประเทศยากจนในอเมริกากลางแห่งนี้ด้วย
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ 7เดย์ส ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกเดินทางจากดูไบในคืนวันพุธ (15) ที่ผ่านมา
"เรากำลังไปสักแห่งในแอฟริกา ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่สามาถบอกได้ว่าที่ไหน" โฆษกคนดังกล่าวบอกกับ 7 เดย์ส โดยเสริมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หวังว่า ต่างประเทศยังจะยอมรับพาสปอร์ตไทยของเขา แม้ว่าทางกรุงเทพฯ จะสั่งเพิกถอนไปแล้วก็ตาม
"อภิสิทธิ์"เข้าทำเนียบฯเชิญทูตแจงเหตุจลาจลกลางกรุง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่าในช่วงบ่ายบรรยากาศเป็นไปอย่าง คึกคัก โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญทูตประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาชี้แจงเหตุการณ์ก่อจลาจลในประเทศไทย ในเวลา 15.00 น.โดยทูตประจำ ประเทศต่างๆ ได้ทยอยเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เวลา 14.25 น. โดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาให้การต้อนรับ
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีให้แจ้งไปยังสถานทูตต่างๆ ประจำประเทศไทย รวมถึงประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับ ประเทศไทยกว่า 70 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจและชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย หลังจากเกิดเหตุกลุ่มเสื้อแดงก่อการจราจลเกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมไปถึงแจ้งให้ทราบกรณีที่รัฐบาลไทยถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้รับทราบ พร้อมทั้งขอความร่วมมือกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย
เมื่อถามว่าได้มีการติดต่อเชิญทูตของประเทศนิกาลากัวมาร่วมรับฟังสถานการณ์ด้วยหรือไม่ นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยและนิกาลากัวยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตถึงขั้นต้องมีการตั้งสถานทูตและส่งทูตมาประจำ แต่รัฐบาลได้ติดต่อไปยังรัฐบาลนิกาลากัวผ่านไปยังสถานที่ทูตไทยประจำประเทศเม็กซิโก เพื่อประสานความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากสถานทูตที่แม็กชิโกรับผิดชอบประเทศในโซนทีเกี่ยวข้องกับประเทศนิกาลากัว โดยประเทศนิกาลากัวสามารถติดต่อประเทศไทยผ่านสถานทูตประจำกรุงโตเกียว ซึ่งรับผิดชอบในโซนเอเชีย ส่วนการติดตามตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีนั้นเป็นเรื่องของอัยการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเชิญทูตประจำประเทศไทยมารับฟังคำชี้แจงสถานการณ์ภายในประเทศเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดยาว เอกอัครราชทูตหลายประเทศไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเอง และได้ส่งอุปทูตและเจ้าหน้าที่ทางการทูตมารับฟังคำชี้แจงแทน และที่สร้างความฮือฮามากที่สุดเมื่อเอกอัครราชทูตแอฟริกา ใต้ประจำประเทศไทย นั่งรถแท็กซี่ สีชมพู เข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล ทะเบียน ทฬ 4336 และยังมีที่ปรึกษานั่งแท็กซี่สีฟ้า ทะเบียน ทล 1276 ตามมาด้วย จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยในทำเนียบฯต้องรีบเดิน เข้าเปิดประตูเพื่อตรวจสอบถาม ยืนยันว่าเป็นทูตจริงหรือไม่ โดยเอกอัครราชทูต ประเทศแอฟฟริกาใต้ ระบุว่า เนื่องจากเป็นวัดหยุด จึงเรียกโดยสารรถแท็กซี่ ถือว่าสะดวกสบายดี ขณะที่นายควินตัน เควลย์ เอกอัคราชทูตประเทศ อังกฤษประจำประเทศไทย เดินทางมาถึงทำเนียบฯด้วยอารมณ์ดี พร้อมกับทักทายกลุ่มผู้สื่อข่าวเป็นภาษาไทยว่า "เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ปลอดภัยไหม "
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลในเวลา 15.00 น.โดยเดินทางมาพร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้วยรถเบนซ์กันกระสุน ทะเบียน ชท 1420 เอส 600 รุ่นเดียวกันกันวันที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงรุมทุบที่กระทรวงมหาดไทย โดยยังเป็นคนขับคนเดิม ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มข้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพแล้ว ยังมีรัฐมนตรีทีเกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงด้วย อาทิ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายชัยวุฒิ บรรณวัตน์ รมช.ศึกษาธิการ และนายอลงกรณ์ พรหมบุตร รมช.พาณิชย์
กก.สิทธิฯขอบคุณรัฐบาล-กองทัพระงับเหตุชุมนุมสมศักดิ์ศรี
นายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์เรื่อง สถานการณ์วิกฤตการเมืองกับอนาคตประชาธิปไตยไทย โดยแสดงความขอบคุณรัฐบาลและกองทัพที่ระงับสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างมี เกียรติ ศักดิ์ศรี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท โดยเฉพาะในส่วนของฝ่ายปฏิบัติการด้านความมั่นคงทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่าย ต้องถือเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อพัฒนาการความก้าวหน้าของประเทศชาติโดยส่วน รวมอย่างมั่นคงยั่งยืนสืบต่อไป
ขณะเดียวกัน ขอแสดงความอาลัยและเสียใจอย่างสุดซึ้งในความสูญเสียชีวิตของประชาชน 2 คน ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อต้านพฤติกรรมอันมุ่งเป็นการบ่อนทำลายทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยความเสียสละ กล้าหาญ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลชดเชยความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และเสียสละ อย่างเหมาะสม เป็นธรรม
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังได้เสนอหลักการปฏิบัติในยามวิกฤตต่อความมั่นคง และการดำรงอยู่ของประเทศชาติ รวมทั้งเพื่อมิให้พัฒนาการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนต้องสะดุดหยุดลง โดยขอให้นายกรัฐมนตรีประกาศจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติด้วยความร่วมมือของกลุ่ม การเมืองทุกฝ่าย และภาคเศรษฐกิจ สังคมฝ่ายต่างๆ โดยหลีกเลี่ยงจากภาคราชการและนักวิชาการ ยุติการเมืองแบบตอบโต้เหน็บแนมระหว่างฝ่ายต่างๆ เปิดเวทีภาคสังคมและประชาชน โดยเฉพาะในหมู่ชุมชนท้องถิ่นชนบทซึ่งกำลังตื่นตัวพัฒนาตัวเอง และปกป้องฐานทรัพยากรท้องถิ่นอันเป็นสมบัติของชาติ