นายกฯ ขอโทษแทนจนท. บุกจับ "พระพุทธะอิสระ" รุนแรง
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เข้าจับกุมพระพุทธะอิสระ ในขณะที่ยังเป็นพระ ที่กุฏิในวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ว่า ขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก โดยได้ว่ากล่าวตักเตือนและกำชับไปแล้ว ว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งยังได้ฝากขอโทษ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย
>> อย่างกับหนังแอกชั่น! เปิดคลิปนาที "พุทธะอิสระ" ถูกตำรวจคอมมานโดบุกรวบตัวคากุฏิ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีถึงเจตนาของทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความรัดกุมรอบคอบ แต่จะต้องปรับวิธีการให้เหมาะสม รวมถึงความรู้สึกของประชาชน โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะยึดหลักกฎหมายและให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ พล.ท.สรรเสริญ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย IMD ประจำปี 2561 ซึ่งประเทศไทยมีอันดับลดลงจากอันดับที่ 27 เมื่อปีก่อน เป็น อันดับที่ 30 ในปีนี้ ว่า สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้กระทบต่อปัจจัยการประเมินด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเชื่อว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวการลงทุนนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
ขณะที่ ประสิทธิภาพของรัฐเรื่องอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก เช่น การแก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ การปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราภาษีการบริโภค การสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ฯลฯ ส่วนปัจจัยการประเมินอีก 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากการลงทุนของรัฐบาลมีอันดับดีขึ้น และด้านสภาวะเศรษฐกิจกับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจนั้น มีอันดับคงเดิม
พล.ท.สรรเสริญ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ว่าอันดับโดยรวมของไทยในการอันดับการแข่งขันของ IMD จะลดลง แต่ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน แต่คะแนนดิบที่ได้รับคือ 79.450 ซึ่งยังคงสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของโลกที่ 76.61 และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซียเช่นเดียวกับปีก่อน ซึ่งรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น ด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมให้อันดับของไทยดีขึ้นต่อไป
พร้อมกันนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า นายกฯ ไม่ได้ใส่ใจ กรณี ที่นักการเมืองบางคนวิจารณ์ว่า ไม่มีพื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐกิจ และ 4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศยังโตไม่มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ว่า รัฐบาลทำงานเป็นทีมและมีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง มีผลงานที่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นต่อเนื่อง จากที่ดิ่งต่ำสุดและติดลบในช่วงก่อนปี 2557 ขึ้นมาเกือบ 5% และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก จึงอยากเตือนว่าไม่ควรออกมาพูดเช่นนี้ เพราะสุดท้ายจะกลับเข้าตัวเอง