พระวัดดังนครพนมยันไม่ได้เบิกทาง "พระพรหมเมธี" หนีไปลาว

พระวัดดังนครพนมยันไม่ได้เบิกทาง "พระพรหมเมธี" หนีไปลาว

พระวัดดังนครพนมยันไม่ได้เบิกทาง "พระพรหมเมธี" หนีไปลาว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เจ้าอาวาสวัดดังยัน ไม่รู้เห็นการหลบหนีของ "พระพรหมเมธี" ไปฝั่ง สปป.ลาว หลังพบรถตู้จอดอยู่วัน ย้ำไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ด้านตำรวจยังพลิกแผ่นดินหา

(2 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีการติดตามจับกุมตัว "พระพรหมเมธี" หรือ นายจำนง เอี่ยมอินททรา อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด หลังหนีกบดานพื้นที่ จ.นครพนม พบเบาะแสว่ามีการหลบหนีไปยังประเทศ สปป.ลาว

โดยทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังนำทีมตำรวจกองปราบปราม รวมถึงระดมชุดสืบสวนลงพื้นที่ปักหลักแบบทางลับ และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสื่อมวลชน เพื่อเร่งแกะรอยติดตามจับกุม พระพรหมเมธี ซึ่งมีการตรวจสอบพบหลักฐานสำคัญคือ รถตู้ต้องสงสัย เป็นรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีบรอนซ์เงิน ที่จอดทิ้งไว้ใกล้กุฏิพระเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี ต.นางาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม

ทั้งนี้ เชื่อว่ารถตู้คันนี้เป็นรถของพระพรหมเมธี ที่นำมาซุกซ่อนไว้ก่อนการหลบหนี เพื่อข้ามไปยัง สปป.ลาว และทางตำรวจได้มีการตรวจยึดรถไปเก็บรักษารอการตรวจสอบไว้ที่ สภ.เรณูนคร อยู่ระหว่างการเร่งสืบสวนติดตามบุคคลที่เชื่อมโยงในการช่วยเหลือการหลบหนี

ขณะเดียวกันได้มีรายงานว่า ทางตำรวจได้มีการควบคุมตัวบุคคลที่เชื่อมโยง ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในการช่วยเหลือการหลบหนีไปยัง สปป.ลาว เชื่อว่าส่วนหนึ่งมีชาวลาวเป็นคนช่วยเหลือให้การหลบหนี ซึ่งทางตำรวจอยู่ระหว่างการเร่งสืบสวนขยายผล เพื่อหาทางติดตามพระพรหมเมธีมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่มีใครออกมาเปิดเผยความชัดเจนทั้งหมด

ล่าสุดทางด้าน พระอธิการ พรเทพ จักรวโร อายุ 37 ปี พระเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ ออกมาเปิดเผยว่า หลังมีข่าวพบรถตู้ที่มาซุกซ่อนในวัดแพร่ออกไป ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าตนช่วยเหลือในการหลบหนี แต่ความจริงอาตมายืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อนกับพระที่หลบหนี

news01-1พระอธิการ พรเทพ จักรวโร เจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์

เพียงแต่เคยไปพบกันที่มีการทำบุญที่วัดในแขวงคำม่วน สปป.ลาว เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้สนิทและไม่เคยมาที่วัด แต่ภายหลังรู้จักตามสื่อว่ามีการหลบหนีการจับกุม ซึ่งอาตมาได้ให้การตำรวจตามข้อเท็จจริงทุกอย่างก่อนหน้านี้ และอยากให้ญาติโยมเข้าใจในทางที่ถูกต้อง ไม่อยากให้กระทบต่อการพัฒนาวัด และความศรัทธาของญาติโยมที่

อาตมาได้พยายามร่วมกันพัฒนาสร้างวัดมา หลังมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าอาวาสรูปก่อนท่านมรณภาพลง อาตมาในฐานะลูกศิษย์ที่เคยรับใช้จึงมาดูแลพัฒนาต่อ เพราะได้อุทิศตนในทางธรรม หลังบวชมาตั้งแต่ปี 2551 รวมกว่า 9 พรรษา

ส่วนที่มาของรถตู้นั้นยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยวันเกิดเหตุมีญาติโยมนำมาฝากจอดไว้ ซึ่งวันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา มีญาติโยมเข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมาก จึงไม่ได้สังเกตว่าเป็นรถใคร และมีใครมาในรถบ้าง แต่ยอมรับว่ามีญาติโยมจากลาวที่คุ้นเคยมาทำบุญจริง ซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการหลบหนีหรือไม่

จนกระทั่งเย็นวันเดียวกันมีตำรวจมาตรวจสอบที่วัด และพาไปตรวจสอบรถที่นำมาจอดใกล้โรงครัว มารู้ทีหลังจากตำรวจว่าเป็นรถของพระที่หลบหนี ก็ยังตกใจ แต่ได้ให้ความร่วมมือตำรวจทุกเรื่อง โดยไม่ได้กังวลว่าจะถูกดำเนินคดี เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องเลย และทางตำรวจไม่ได้มีการข่มขู่

แต่รายละเอียดการตรวจสอบรถอาตมาก็ไม่รู้และมีการตรวจยึดรถไปแล้ว เพียงแต่รู้ว่ารถที่มาจอดมีการถอดป้ายทะเบียน และมีการถอดขั้วแบตเตอรี่ โดยไม่ทราบรายละเอียดไปมากกว่านี้ ภายในวัดมีวงจรปิดแต่ระบบเสียนานแล้วยังไม่ซ่อม และได้มอบให้ตำรวจตรวจสอบแล้ว

อย่างไรก็ตาม อาตมายืนยันว่าไม่ได้รู้จักและไม่เคยมีความสัมพันธ์กับพระพรหมเมธีที่หลบหนี และไม่เคยเดินทางมาในวัด ส่วนการพัฒนาวัด ปัจจัยต่างๆ มาจากพลังศรัทธาญาติโยมทั้งหมดร่วมกับชาวบ้าน จนเป็นวัดที่ที่ชาวบ้านศรัทธา หลังจากนี้ต้องปล่อยให้ทางตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook