สาวในกุฏิ สมภารวัดสวนดอก

สาวในกุฏิ สมภารวัดสวนดอก

สาวในกุฏิ สมภารวัดสวนดอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ล้อมกุฏิ รักษาการเจ้าอาวาสวัดดังเชียงใหม่ ชาวบ้านฮือจับตัวหญิงสาว เผยเข้าไปอยู่ในกุฏิ รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนดอกทุกคืน สุดท้ายจับตัวได้ให้การอ้างนำเอกสารเข้าไปให้เซ็น ขณะที่พระครูช่วงบุกจับไม่ได้อยู่ในกุฏิ ก่อนที่จะดอดไปแจ้งความตำรวจ ระบุให้จับ 3 ผู้นำชุมชนที่นำกำลังล้อมกุฏิ ข้อหาหมิ่นประมาท

เมื่อ เวลา 01.00 น. วันที่ 18 เม.ย. ณ บริเวณวิหารหลวงวัดสวนดอก ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูโฆษิตปริยัตยาภรณ์ เจ้าคณะตำบลสุเทพ ร่วมกับชาวบ้านจำนวน 500 คน มาประชุมกันในวิหารดังกล่าว เพื่อหาข้อยุติกรณีรักษาการเจ้าอาวาส ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมแอบนำผู้หญิงมานอนในกุฏิในช่วงกลางคืนทุกวัน และดึกๆ หญิงสาวดังกล่าวก็จะเดินทางกลับ จนชาวบ้านทนไม่ไหวและไปดักล้อมที่กุฏิจนสามารถจับกุมหญิงดังกล่าวได้ และส่งตัวให้ตำรวจสอบปากคำ

จากนั้นชาวบ้านมานั่งรอฟังผลการสอบปากคำ หญิงดังกล่าวคือ น.ส.ทิพย์ อายุ 29 ปี เข้าไปกบดานและหลับนอนอยู่ในกุฏิรักษาการเจ้าอาวาสวัด คือ พระครูพิพิธสุตาทร รักษาการเจ้าอาวาส และยังเป็นถึงรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตเชียงใหม่ ทางตำรวจจึงควบคุมตัว น.ส.ทิพย์ ไปสอบปากคำที่ตู้ยามตำรวจ ชุมชนวัดสวนดอกตั้งอยู่บริเวณข้างวัด และจัดกำลังกันชาวบ้านเพื่อไม่ให้ทำร้ายหญิงดังกล่าวด้วย

สำหรับการ ล้อมจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากนายสุรพล วิริยะพันธุ์ ประธานชุมชนวัดสวนดอก ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และชาวบ้านรับการร้องเรียนจากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านหลายคนว่า รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนดอก คือ พระครูพิพิธสุตาทร มีพฤติกรรมไม่หมาะสมในเรื่องชู้สาว และยังทำการเปิดมูลนิธิของตนเองชื่อมูลนิธิเอดส์โลก และยังตั้งสถาบันโพธิญาลัย ขึ้นภายในวัดแห่งนี้ โดยมอบหมายให้ น.ส.ทิพย์ มาเป็นเลขาฯของมูลนิธิเอดส์ และรับเงินบริจาคมาจำนวนมาก

จากนั้นพบ ว่ามีการซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า โฟร์วีลส์ 4 ประตู ทะเบียน กษ-8743 เชียงใหม่ ให้กับน.ส.ทิพย์ ไว้ใช้ โดยฝ่ายหญิงจะบอกว่ารถยนต์ดังกล่าวซื้อในนามมูล นิธิเอดส์โลก ต่อมาทางชาวบ้านตรวจสอบทะเบียนรถยนนต์ดังกล่าวจึงทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวมี ชื่อ น.ส.ทิพย์ เป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่มูลนิธิเอดส์โลก หรือสถาบันโพธิญาลัย แต่อย่างใด โดยน.ส.ทิพย์ จะใช้รถยนต์คันดังกล่าวมายังวัดเกือบทุกวัน ในช่วงเย็นประ มาณ 17.30 น. และจะออกไปซื้อกับข้าวในช่วงเวลา 18.30 น. ก่อนเข้าไปอยู่ในกุฏิของรักษาการเจ้าอาวาสจนประมาณ 22.00 น. จึงออกจากกุฏิกลับไปบ้าน

คำร้องเรียนยังระบุว่า ทุกคืนรักษาการเจ้าอาวาส จะอยู่ในชุดครึ่งท่อนพระสงฆ์ ออกมาส่งตลอด ทำอย่างนี้เรื่อยมาแบบสม่ำเสมอ จนชาวบ้านที่พบเห็นเอือมระอา ตั้งแต่ปี 2547 และมีการร้องเรียนกันมาเป็นระยะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำหรือตรวจสอบหาหลักฐานได้

เมื่อถูกร้องเรียน หลายต่อหลายครั้ง นายสุรพล วิริยะพันธุ์ ประธานชุมชน จึงส่งคนไปเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของรักษาการเจ้าอาวาสกับหญิงดังกล่าวและตรวจ เช็กข้อมูลอย่างละเอียดเป็นระยะเวลา 1 เดือน และเมื่อเวลา 20.00 น. คืนวันที่ 17 เม.ย. ประธานชุมชนจึงแจ้งให้กับชาวบ้าน ตำรวจ และสื่อมวลชน มาตรวจสอบที่กุฏิ ก็พบว่ามีผู้หญิงอยู่ในกุฏิรักษาการเจ้าอาวาส ปิดไฟและเปิดแอร์ ส่วนพระครูพิพิธ เจ้าของกุฏิรักษาการเจ้าอาวาส ขณะถูกล้อมเป็นจังหวะที่เดินทางไปยัง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เพื่อดูบ้านใหม่ที่สร้างไว้ จากนั้นเดินทางกลับมาที่วัด พบว่ามีชาวบ้านมาล้อมกุฏิไว้และสามารถควบคุมตัว น.ส.ทิพย์ไว้ได้ พระครูพิพิธ รู้ว่าความแตกจึงตัดสินใจให้ลูกศิษย์พาหนีออกจากวัดทันที

สำ หรับน.ส.ทิพย์ หลังจากที่ถูกชาวบ้านล้อมไว้จึงยอมออกมาจากกุฏิ พร้อมทั้งปิดหน้าปิดตาพร้อมบอกกับชาวบ้านและประธานชุม ชนว่า "เอาหนังสือมาให้ป๋าเซ็น" ทำเอาชาวบ้านหลายคนถึงกับตกตะลึง ก่อนที่จะกล่าวแก้ตัวว่า "เอาหนังสือมาให้พระครูเซ็น" จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวน.ส.ทิพย์ ไปสอบปากคำ ส่วนชาวบ้านก็แจ้งกับทางเจ้าคณะ ตำบล เจ้าคณะอำเภอ และสำนักงานพระ พุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ให้รับทราบ และพร้อมใจกันมารอผลการสอบปากคำ รวมทั้งการสรุปของชาวบ้านที่ในวิหารหลวงดังกล่าว

จากการสอบปากคำ น.ส.ทิพย์ให้การว่า มาหาพระครูพิพิธ ในช่วงกลางคืนเพราะต้องนำเอกสารมาให้พระครูพิพิธเซ็นที่กุฏิ โดยมาสัปดาห์ละ 3 วัน และนำน้ำดื่มมาให้พระครูฉันด้วย โดยพระครูพิพิธ ตั้งให้ตนเป็นเลขาฯมูลนิธิโรคเอดส์ และยืนยันว่าตนกับพระครูไม่ได้มีอะไรกัน หลังสอบปาก คำและบันทึกปากคำทางตำรวจอนุญาตให้ น.ส.ทิพย์ กลับบ้านได้ เนื่องจากทางตำรวจไม่สามารถเอาผิดในเรื่องของกฎหมาย แต่ในเรื่องของสงฆ์ เป็นหน้าที่ของทางคณะ สงฆ์ และชาวบ้านจะตัดสินใจกันอย่างไร

พระครูโฆษิตปริยัตยาภรณ์ เจ้าคณะตำบลสุเทพ เปิดเผยว่า การจะเอาผิดกับพระสงฆ์ที่ทำผิดอธิกรณ์ ต้องมีหลักฐานชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเอาผิดกับพระสงฆ์รูปนั้นได้ การที่หญิงดังกล่าวไปนอนในกุฏิยามวิกาลถือว่าไม่เหมาะสม แต่ทุกคนก็ไม่เห็นว่าทั้งคู่มีอะไรกัน ฉะนั้น กฎของสงฆ์มีระบุไว้ต้องมีหลักฐานชัดเจน ส่วนความไม่เหมาะสมนั้นไม่เหมาะสมแน่ ก็ต้องแล้วแต่มติของศรัทธาชาวบ้านว่าจะเอาหรือไม่อย่างไร หากศรัทธาชาวบ้านไม่ต้องการพระสงฆ์รูปนี้ก็อยู่ลำบาก ขึ้นอยู่กับทางพระสงฆ์รูปนั้นว่าจะทำอย่างไร แต่ตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่ ก็คงต้องรอการชี้แจง

ทางด้านประธานชุมชนและชาวบ้านสรุปว่า จะให้พระครูพิพิธ มาชี้แจงต่อชาวบ้านที่วิหารแห่งนี้ภายใน 3 วัน หากไม่มาชี้แจงหรือไม่ปรากฏตัวก็ขอให้พระครูพิพิธ ขนข้าวขนของไปอยู่ที่วัดอื่น เพราะชาวบ้านหมด ศรัทธาแล้วกับพฤติกรรมแบบนี้ ชาวบ้านในละแวกนี้รู้กันมานานแล้ว ไม่ต้องการให้พระรูปนี้มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ต่อไป เพราะอีก 6 เดือนก็จะมีการแต่งตั้งเจ้า อาวาส และพระครูพิพิธ ก็เป็นพระที่ถูกเสนอชื่อให้รับการเป็นเจ้าอาวาสรูปต่อไป

ต่อมาเวลา 09.45 น. พระครูพิพิธสุตาทร รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนดอก เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ต.วินัย รวิเดช ร้อยเวร สภ.ภูพิงค์ เชียงใหม่ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยโฆษณาประกาศเสียงตามสาย กล่าวหาทำ ให้ได้รับความอับอายและทำให้เสียชื่อเสียง จึงแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายสุรพล วิริยะพันธุ์ ประธานชุมชนวัดสวนดอก, นายนพดล อนันตทวัช รองประ ธานชุมชนวัดสวนดอก และร.ต.จันแก้ว กัน ทา ประธานผู้สูงอายุชุมชนวัดสวนดอก ในข้อหาหมิ่นประมาทเสียงตามสายชักชวนชาวบ้านออกมาขับไล่ โดยทางพระครูพิพิธ แจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับทั้ง 3 อย่างเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม หลังชาวบ้านทราบเรื่องว่าผู้นำชุมชนถูกแจ้งความดำเนินคดี ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากเกิดความไม่พอใจและลุกฮือพากันเข้ามาที่วัดเพื่อกดดัน แต่ไม่พบพระครูพิพิธแต่อย่างใด

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook