โอละพ่อ รองประธานสภา อบต. เข้าแจ้งความถูกจี้ชิงรถ ที่แท้กุเรื่อง

โอละพ่อ รองประธานสภา อบต. เข้าแจ้งความถูกจี้ชิงรถ ที่แท้กุเรื่อง

โอละพ่อ รองประธานสภา อบต. เข้าแจ้งความถูกจี้ชิงรถ ที่แท้กุเรื่อง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (13 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ได้จับกุม นายธนกฤต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นรองประธานสภา อบต.ชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ จ.นครราชสีมา ฐานแจ้งความเท็จ 

หลังจากเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ นายธนกฤต ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกคนร้ายเป็นชาย 2 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด ดักจี้ชิงรถยนต์ยี่ห้อมาสดา 4 ประตูสีดำ ของตนเองไปตอนกลางวันแสกๆ ที่บริเวณถนนทางเข้าวัดชลประทานราษฎร์ดำริ ต.สูงเนิน อ.กระสัง ขณะที่กำลังจะขับรถไปดูงานรับเหมาถมดินที่ จ.สุรินทร์   

ซึ่งหลังได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบก็ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุทันที พร้อมสอบถามข้อมูลจากนายธนกฤต ที่แจ้งความว่าถูกคนร้ายจี้ชิงรถเพื่อเป็นข้อมูลเบาะแสในการติดตามตัวคนร้าย 

แต่ขณะเจ้าหน้าที่สอบถามข้อมูลรายละเอียดรูปพรรณคนร้าย รวมถึงลักษณะการลงมือก่อเหตุ และเส้นทางที่คนร้ายหลบหนี นายธนกฤตกลับแสดงอาการพิรุธหลายอย่าง 

จึงได้เค้นสอบถามนายธนกฤต  จนสุดท้ายก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นเรื่องโอละพ่อ ที่ตนเองได้กุขึ้นเอง ไม่ได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเลย แต่ที่เข้าแจ้งความเพราะต้องการใบแจ้งความว่าถูกจี้ชิงรถ ไปเป็นหลักฐานประกอบการยื่นบริษัทประกันภัย

เพื่อต้องการเคลมประกัน เนื่องจากนายธนกฤตได้นำรถยนต์ไปจำนำแต่หมุนเงินไปทำให้รถหลุดจำนำ จึงได้ออกอุบายสร้างเรื่องขึ้นดังกล่าวแต่สุดท้ายไม่รอดถูกจับกุมเสียเอง  

ด้าน พ.ต.ท.ประพันธ์ ขำอเนก สารวัตรสอบสวน สภ.กระสัง เผยว่า ด้วยประสบการณ์ทำงานของชุดสืบสวนมาหลายปี ก็สังเกตพบพิรุธหลายอย่างที่ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อเท็จจริง จึงได้พยายามสอบถามอย่างละเอียด

จนในที่สุดนายธนกฤตก็ยอมเปิดปากรับสารภาพว่าไม่เป็นความจริง และตนเองกุเรื่องขึ้นทั้งหมด เพียงเพราะต้องการใบแจ้งความไปเป็นหลักฐานยื่นบริษัทประกันภัยเท่านั้น 

เบื้องต้น นายธนกฤตถูกแจ้งข้อหา “แจ้งความเท็จ” ก่อนจะควบคุมส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

ทั้งนี้ ยังได้ฝากเตือนประชาชนหรือผู้ที่คิดจะสร้างเรื่องแล้วมาแจ้งความเท็จ เพื่อหวังประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดนั้น ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะนอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องออกไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ หาเบาะแสติดตามตัวคนร้ายทั้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แทนที่จะได้ใช้เวลาไปทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน หรือติดตามคดีอื่นๆ ซึ่งผู้ที่แจ้งความเท็จก็จะมีความผิดตามกฎหมายด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook