“โยโกะ ทาคาโน่” เปิดใจ ชีวิตหลังรอดตาย ป่วยภูมิคุ้มกันล้น ทำลายเซลล์สมอง
เคยเป็นถึงเซ็กซี่สตาร์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย สำหรับ โยโกะ ทาคาโน่ แต่เหมือนโชคชะตาได้เล่นตลกเพราะจู่ๆ เมื่อปี พ.ศ.2557 เธอได้ถูกนำตัวเข้าส่งโรงพยาบาลอย่างด่วน เนื่องจากเกิดอาการไตวายอย่างเฉียบพลัน รวมถึงเส้นเลือดดวงตาแตกทั้งสองข้าง จนแพทย์ได้ทำการล้างไตอย่างเร่งด่วนและทำให้พ้นขีดอันตรายในที่สุด
>>"โยโกะ ทาคาโน่" อดีตเซ็กซี่สตาร์ ไตวายเฉียบพลัน
และต่อมาในปี พ.ศ.2559 เจ้าตัวก็ได้ออกมาเผยว่าตนเองได้ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันล้น สมองอักเสบส่งผลให้ความทรงจำบางอย่างลดน้อยลง แต่ไม่ใช่อาการสมองเสื่อม
ซึ่งล่าสุด โยโกะ ทาคาโน่ ได้ออกงานและพบเจอสื่อมวลชนอีกครั้ง จึงได้อัปเดตถึงอาการดังกล่าวให้ฟัง โดยเจ้าตัวได้เผยว่า ตอนนี้เธอยังคงต้องทานยาลดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง รักษาอาการไว้ให้คงที่อย่างเดิม ไม่ทำให้แย่ลง พร้อมบอกตอนนี้ชีวิตดีเพราะผันตัวมาเป็นหมอดูได้สักพักแล้ว ส่วนเรื่องของหัวใจยังคงโสดเหมือนเดิมเพราะเวลาทุ่มเทให้กับการดูแลตัวเองหมด
เป็นมาอย่างไรถึงผันตัวเองมาเป็นหมอดู ?
“ตอนแรกกไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาเป็นหมอดู ก็งงเหมือนกัน แล้วทีนี้ได้ไปดูดวงกับ อาจารย์วั้ง แล้วอาจารย์เขาก็บอกว่าเราดูดวงได้นะ แล้วพอไปถามคุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่าเคยมีพระหลายรูปและมีอีกหลายคนเคยทักมากแล้วว่า ต่อไปอายุ 40 เราจะต้องเปลี่ยนมาเป็นหมอดู จะต้องมาดูดวงให้คน เราก็แบบเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่มามาดูกับอาจารย์วั้ง ท่านก็บอกว่าดูได้ เป็นเถอะช่วยสอนให้ เปิดไพ่ ก็เลยกลายเป็นศิษย์รุ่น 1 ของอาจารย์วั้ง แล้วตอนนี้ก็เรียนอยู่กับอาจารย์เพิ่ม ซึ่งก็สอนทักษะเพิ่มให้เราอยู่ค่ะ ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
“ซึ่งตอนนี้การดูดวง เหมือนกับว่ามันไม่ใช่แค่ต้องเป็นคนมีเซ้นส์ถึงจะดูดวงได้เท่านั้น สำหรับเราการดูดวงไม่ได้เป็นการทำให้คุณงมงาย แค่ทำให้คุณไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ให้คุณได้เผื่อไว้บ้างว่ามีคนทักมาอย่างนี้นะ ถ้าโบราณเขาก็จะพูดว่าจิ้งจกทักเรายังหยุด ก็เหมือนกัน อันนี้คนทัก แล้วเอาดวงของคุณซึ่งมาจากวันเดือนปีเกิด แล้วมาเปิดไพ่ยืนยัน เอาหลายๆ ศาสตร์มารวมกัน แล้วก็ค่อยๆ เช็คไป คือเหมือนเป็นการให้คำแนะนำมากกว่าที่จะให้งมงายกับเรา”
ก่อนจะมาเริ่มดูดวง เราเคยมีเซ้นส์มากก่อนไหม ?
“เซ้นส์มันก็คงดีมาก่อนแล้วนะ เราจะรู้สึกไวกับเรื่องพวกนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้คิดถึงขั้นว่าจะได้มาเป็นหมอดู จนกระทั่งมาเป็นนี่แหละค่ะ”
ที่ผ่านมาในการเริ่มดูดวง ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ?
“ก็โอเค ลูกค้าที่ดูกับเราเขาก็จะบอกว่าโอเค ไม่ค่อยแรงดี จะเป็นแนวแบบดูแล้วเป็นกำลังใจมากขึ้น คนจะพูดแบบนี้กันมาก ขอบคุณนะพี่ที่ให้กำลังใจ แล้วเขาก็จะกลับมาดูอีกเวลามีปัญหาอะไร”
เราดูเป็นไพ่ หรือดูแบบวันเดือนปีเกิด ?
“วันเดือนปีเกิดด้วย ไพ่ด้วย แล้วก็มีเรียนศาสตร์ตัวเลขมาจากญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมันก็จะมีหลายๆ ศาสตร์มารวมกัน แล้วก็ทำเรกิด้วย ซึ่งเรกินี่จะเชื่อว่าคนเรามีพลังฮีลลิ่งในตัวอยู่แล้วทุกคน สามารถรักษาตัวเองได้ ก็เป็นพลังจักรวาล เราก็เรียนมาได้ใบประกาศมาแล้วก็ทำอยู่ด้วยค่ะตอนนี้”
การมาเป็นหมอดูเราต้องหมั่นทำบุญมากขึ้นไหม ?
“ต้องทำเยอะมาก บางคนอาจจะคิดว่าการดูดวงจะต้องทำอะไรหนักหนา ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ต้องทำค่ะต้องทำ อย่าคิดว่ามันไม่ได้มาตามเรา เพราะว่าจริงๆ แล้วมันตามแน่นอนแหละ มันเป็นผลตั้งแต่เราต้องมาเป็นหมอดูแล้ว เราก็ต้องดูแล้วว่าฉันมีอะไร ฉันถึงต้องมาเป็นหมอดู แล้วอีกอย่างการไปบอกอนาคต ไปบอกว่าคุณระวังนะ แค่ไปบอกว่าคุณระวังอุบัติเหตุนะ ระวังทะเลาะกับแฟนนะ เขาก็มาหาเราแล้ว ดวงเขาควรจะโดน ควรจะเจอ แต่เราไปเตือนเขา ก็โดนแน่นอนค่ะ มีผลแน่นอน เราก็ต้องอุทิศให้กันไป อันนี้คือความเชื่อของพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว การอุทิศการให้อภัยซึ่งกันและกันมันต้องมีอยู่แล้ว”
มีคนในวงการไปดูดวงกับเราบ้างไหม ?
“ก็มีบ้าง แต่ขอไม่เปิดเผย เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว เราดูให้ลูกค้าแล้วเราก็ไม่สมควรที่จะเอาไปพูดอะไรต่ออยู่แล้ว แล้วโชคดีอย่างหนึ่งที่โรคสมองของเรามันช่วยไว้ คือมันจะไม่จำ เพราะฉะนั้นจะกลับมาถามอะไรอีกทีหนึ่ง ขอเวลาแม่หมอแป๊บหนึ่ง แม่หมอต้องไปเปิดโพยนิดหนึ่ง บางคนโทรมาว่าตอนนี้ดวงเขาเป็นยังไงบ้าง จำได้ไหม ก็คือจำไม่ได้นะคะ ต้องไปเปิดโพย แล้วก็ต้องเปิดไพ่อีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องให้เวลาแม่หมอนิดหนึ่ง (หัวเราะ)”
ถามถึงเรื่องสุขภาพ กับอาการป่วยโรคภูมิคุ้มกันล้น ที่ส่งผลไปถึงการทำงานของสมอง ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง รักษาไปถึงไหนแล้ว ?
“ก็ยังรักษาอยู่ อาการก็ยังคงที่ค่ะ หมายถึงว่าเราสามารถที่จะเอาไว้ให้มันไม่มากขึ้นหรือน้อยลง คือไม่ให้แย่กว่าเดิม เพราะว่าเช็คเลือดแล้ว ภูมิคุ้มกันก็ยังสูงยังล้นอยู่ ซึ่งในอนาคตถ้าหากว่าเราทำฟันทำหน้าเสร็จ เราก็ต้องกลับไปทานยากดภูมิเหมือนเดิม”
เทียบกับครั้งแรกที่ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องอาการป่วย กับตอนนี้อาการมันดีกว่าเดิมเยอะขนาดไหน ?
“การพูดจากของเราน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ถามว่าอาการต่างๆ มันดีขึ้นกว่าเดิมไหม ก็อยู่อย่างเดิมเลยค่ะ คงที่อย่างเดิม เรารักษาอาการไว้อย่างเดิม ไม่ให้แย่ลง คือถามว่ามันจะหายไหม เราก็ไม่สามารถบอกได้ ในอนาคตอาจจะหายก็ได้หรืออาจจะต้องอยู่กับเขาไปแบบนี้ตลอดก็ได้ ไม่มีใครทราบ เพราะว่าโรคที่เราเป็นมันเป็นโรคกรณีศึกษา แต่ไม่ใช่แค่ว่าคุณหมอที่ต้องศึกษา ตัวคนไข้เอง เราก็ต้องศึกษาไปพร้อมๆ กับคุณหมอ เพราะว่ามันเป็นโรคที่ไม่สามารถเสิร์จในอินเตอร์เน็ตแล้วเจอเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาตัวเอง ดูอาการตัวเองไปด้วยพร้อมๆ กับที่คุณหมอก็ศึกษาไปด้วย”
“แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ คุณหมอที่โรงพยาบาลบอกว่าคนหลายคนเป็น แต่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็น เพราะว่าไม่ได้รับการตรวจอย่างละเอียด ก็เลยอยากให้คนตื่นตัวกับโรคนี้นิดหนึ่งว่า โรคนี้มันมีจริงนะ โรคภูมิคุ้มกันล้น ไปทำลายเซลล์สมอง ไปทำลายเซลล์ร่างกาย มันมีแล้วมันก็เพิ่มขึ้นมากๆ ด้วย ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณพูดไม่ชัด มือชา เท้าชา หรือว่าเกร็ง ชัก หรือหมดแรงไปเฉยๆ จำอะไรไม่ได้ ซึ่งการจำอะไรไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นแค่โรคอัลไซเมอร์อย่างเดียว เพราะฉะนั้นอยากให้เช็ค อยากให้รู้จักโรคของตัวเองให้จริงๆ จังๆ แล้วก็รู้ทันโรค จะได้รักษาได้ทันค่ะ”
หัวใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีหนุ่มๆ บ้างไหม ?
“โสดสนิทเลยค่ะ หลายปีแล้วด้วย เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับการที่จะอัปเดตตัวเอง เพราะว่าหลังจากที่เรารอดชีวิตมาแล้ว ก็คิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารอดมา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ขัดเกลาตัวเองมากขึ้น ก็เลยทำให้เราไม่ได้มองใคร ไม่ได้ออกไปหาใครด้วย คุณแม่ก็เริ่มเป็นห่วงแล้ว (หัวเราะ) คนเขามาคุยๆ ก็ไม่มีนะ หรือว่ามีแล้วเราไม่รู้ตัวก็ไม่รู้นะ เพราะว่าเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขามาจีบเราหรือเปล่า คือถ้าไม่มีท่าทีเราก็ไม่รู้หรอก (ยิ้ม)”
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ