"แอมเนสตี้" ระบุ "โหดร้าย-ไร้มนุษยธรรม" กรณีไทยกลับมาใช้โทษประหารชีวิต

"แอมเนสตี้" ระบุ "โหดร้าย-ไร้มนุษยธรรม" กรณีไทยกลับมาใช้โทษประหารชีวิต

"แอมเนสตี้" ระบุ "โหดร้าย-ไร้มนุษยธรรม" กรณีไทยกลับมาใช้โทษประหารชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คัดค้านการประหารชีวิตของไทยในรอบ 9 ปี ระบุเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม เผยงานวิจัยนานาชาติชี้โทษประหารชีวิตไม่มีผลต่อการลด-เพิ่มอาชญากรรมที่เกิดขึ้น

สืบเนื่องจากรายงานข่าวว่า ทางการไทยได้ประหารชีวิตชายอายุ 26 ปี ในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณ ซึ่งนับเป็นการประหารชีวิตครั้งแรกในประเทศนับแต่เดือนสิงหาคม 2552

แคทเธอรีน เกอร์สัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า เรื่องนี้นับเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตรอดอย่างน่าละอาย เป็นเรื่องน่าตกใจที่ประเทศไทยละเมิดต่อพันธกิจที่เคยประกาศไว้ว่า จะเดินหน้าไปสู่การยกเลิกโทษประหาร และการปกป้องสิทธิที่จะมีชีวิตรอด ทั้งยังเป็นการทำตัวไม่สอดคล้องกับกระแสโลก ซึ่งกำลังมุ่งหน้าออกจากโทษประหาร

“ไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าโทษประหารจะส่งผลให้บุคคลยั้งคิดก่อนกระทำความผิดอย่างชัดเจน การที่ทางการไทยคาดหวังว่ามาตรการเช่นนี้จะช่วยลดการก่ออาชญากรรม จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง โทษประหารนับเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีมากที่สุด ทั้งไม่ได้เป็น 'คำตอบสำเร็จรูป' ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ทางการต้องการแก้ไขอย่างรวดเร็ว  

หลังผ่านไปเกือบ 10 ปีที่ไม่มีการประหารชีวิต การประหารชีวิตครั้งนี้นับเป็นความถดถอยสำคัญในเส้นทางไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตของไทย รัฐบาลไทยต้องยุติแผนการใดๆ ที่จะประหารชีวิตประชาชนอย่างต่อเนื่อง และจัดทำความตกลงชั่วคราวเพื่อยุติการใช้โทษประหารชีวิต”

นับเป็นการประหารชีวิตครั้งแรกของไทย หลังจากมีการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาต่อนักโทษชายสองคนเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ไม่มีการประหารชีวิตบุคคลเลยตั้งแต่ปี 2546 จากตัวเลขของกระทรวงยุติธรรมระบุว่า จนถึงสิ้นปี 2560 มีนักโทษประหารอยู่จำนวน 510 คน โดยเป็นผู้หญิง 94 คน ในจำนวนนี้ 193 คนเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ผ่านกระบวนการอุทธรณ์คดีหมดสิ้นแล้ว เชื่อว่ากว่าครึ่งหนึ่งของนักโทษเหล่านี้ต้องโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด

แม้ว่าการใช้โทษประหารชีวิตเชิงบังคับถือเป็นข้อห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่โทษประหารยังเป็นโทษเชิงบังคับสำหรับความผิดหลายประการในประเทศไทย รวมทั้งคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณ โดยความผิดหลายประการที่มีการใช้โทษประหาร มีลักษณะไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของการเป็น อาชญากรรมร้ายแรงสุด ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศอนุญาตให้ใช้โทษแบบนี้ได้ สำหรับประเทศต่างๆ ที่ยังไม่ยกเลิกโทษประหารเสียทีเดียว

เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีเพียง 16 ประเทศ ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต จนถึงทุกวันนี้ 106 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกโทษประหารสำหรับความผิดทุกประเภท และ 142 ประเทศหรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าทัศนคติและความเชื่อดั้งเดิมสามารถเปลี่ยนแปลงได้

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งมีงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น

>> กรมราชทัณฑ์ประหารชีวิต นักโทษคดีฆ่าชิงทรัพย์ รายแรกในรอบ 9 ปี

>> เปิดประวัติ "นักโทษ" ที่ทำให้ไทยกลับมาใช้โทษประหารในรอบ 9 ปี

นอกจากนี้ในเพจเฟซบุ๊กของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้เชิญชวนผู้ที่มีจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชน มาร่วมไว้อาลัยแด่การตัดสินโทษประหารชีวิต โดยพร้อมกันในวันนี้ (19 มิ.ย.) เวลา 14.00-14.30 น. ณ บริเวณหน้าเรือนจำกลางบางขวาง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook